Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

Posted in Uncategorized | 1 Comment

1 พฤศจิกายน 51 – 10 กันยายน 2552

วันที่ 10 กันยายน 2552  (1)

                        สียงไก่ขันยามเช้าหน้าหอพักเอย เสียงเรือที่สัญจรไปมาข้างหอเอย ไหนจะเสียงฝีเท้าคนเดินไปมาในหอ ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วเชียวนะ ก็ยังไม่วายต้องตื่นเช้าจนได้ เหลือบไปเห็นนาฬิกาที่มุมห้อง ชี้บอกเวลา 7.34 น. เลยพาลอยากให้นอนต่อจริงๆ เล้ย! .. แต่เวลาจริงๆ ตอนนี้มันไม่ใช่หรอกนะ เพราะตอนนี้พึ่งจะ 7.11 น. ที่ตั้งเผื่อไว้อย่างนี้ มันก็มีสาเหตุอยู่หรอกน่า คนต่างจังหวัดอาจจะไม่เข้าใจเราในข้อนี้ อยู่ๆ เขาเดินมาถาม น้องๆ ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ  ตอนนี้แปดโมงครึ่งฮะ  ก็ตอบเขาไปพร้อมโชว์นาฬิกาให้ดู เขาเลยอุทานว่า ชิบหาย 9 โมงแล้วเหรอ อ้าวเฮ้ยพี่ จริง ๆ มันพึ่ง 8.30 น่ะแหละ แต่ผมตั้งเกินเผื่อเวลาเท่านั้นเอง คนทำงานมันก็หยั่งเงี้ยแหละพี่ .. งัวเงีย ๆ ง่วน ๆ หมอนหนอ ๆ ง่วงหนอ ๆ หมอนอยู่ตรงนี้หนอ นอนดีก่า (คร่อกก) .. หลับไปถึงตอนไหนไม่รู้ อยู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดัง สวัสดีค่ะ นี่พี่กุ้งนะ ที่น้องบอยขอราคา 8,200 พี่ให้ตามนั้นเลย เพราะพี่หนุ่มคนที่เขาจะจ่ายเงิน เขาบอกว่าถอดได้ดีมาก แล้วเดี๋ยวพี่จะโอนเงินเข้าบัญชีน้องบอยวันที่ 25 นี้นะจ้ะ ส่วนงานอีกชิ้นที่เหลือรอพี่โทรมาคอนเฟิร์มนะ ว่าจะให้ทำเมื่อไหร่ โอ้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ตื่นเลยครับงานนี้ เพราะงานตัวนี้เนี่ย พี่เขาขอต่อราคาจากชั่วโมงละ 300 เป็นชั่วโมงละ 250 บาท ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะครับกับการ ถอดเทปธรรมะ ของหลวงพ่อจรัญเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี .. เอาล่ะ ย้อนไปหน่อยดีกว่า ว่าทำไมเราถึงได้งานนี้มาทำ

 

วันที่ 3 พ.ย. 51 5 มี.ค. 52  (ย้อนๆ)

                        นี่เป็นครั้งแรก กับการทำงานใน สำนักงานนโยบายแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการเทียบเท่าระดับกรม สังกัดกระทรวงคมนาคม วันแรกที่ผมเข้าไปนั้น ผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเขาเป็นซี 8) ทักทายว่า เธอคิดยังไงถึงมาทำงานที่นี่ เธอคิดผิดแล้วนะ อยู่ที่ทำงานเก่าดีอยู่แล้วจะมาทำไมที่นี่ อ้าวพูดหยั่งงี้ก็สวยสิครับ หาเรื่องกันตั้งแต่วันแรกเลยนะเนี่ย และก็เป็นอย่างนี้เรื่อยไป แดกดันผม กดดันผม จาก 1 คนกลายเป็น 2 คน ช่วยกันรุมพูดจาทำร้ายเรา งานก็ไม่มีให้ทำ แล้วยังมีการมาบ่นว่า ทำไมเธอไม่รู้จักทำอะไร อ้าวคุณ แล้วคุณคิดว่าผมต้องทำอะไรล่ะ จะให้แอบหลับในที่ทำงานแบบคุณ โดดงานตอน ผอ. ไม่อยู่เหมือนคุณ ผมไม่เอาด้วยหรอก .. ช่างหาเรื่องทะเลาะได้ตลอดเวลา เรามันยศน้อยตัวเล็ก ก็ได้แต่แค่คิด จริง ๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตารับกรรม ครับๆ ผมจะปรับปรุงครับ มันช่างเป็น 4 เดือนที่ช่างเวทนาจริงๆ และแล้ววันที่ 5 มีนาคม เราก็ได้ทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด โดยการ ลาออก ไม่เขียนใบลาออก นี่.. มันเลวมาก 2 คนนี้ ผมอยากให้คนทั้งสำนักได้รับรู้ กรรมจะต้องตามสนองพวกเขา .. ในที่สุด เรื่องนี้ก็รับรู้ไปถึงหัวหน้ากองการเจ้าหน้าที่ ว่าเกิดอะไรกับเราบ้าง เขาได้โทรมาพูดคุย และขอให้กลับมาเขียนใบลาออก เพราะเกรงว่าจะเสียประวัติการทำงานในอนาคต ไม่ครับ ผมจะไม่เขียนใบลาออก ผมไม่อยากกลับไป ผมไม่อยากเจอหน้าคน ลจร. บางคน  ไม่เป็นไร เธอไม่ต้องขึ้นไป ลจร. เธอมาหาพี่นะ แล้วเดี๋ยวพี่จะเตรียมเอกสารให้พร้อมเลย เธอมาแค่เซ็นอย่างเดียวก็เสร็จแล้วจ้ะ  ได้ครับ งั้นวันพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปครับ .. พูดซะจนทำเราใจอ่อน ตัวเรามันขี้ใจอ่อนอยู่แล้ว อ๊ะ.. เขียนก็เขียน ^^ ความรู้สึกจริงๆ ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าหลุดโลกไปเลย ตุเป็นอิสระแล้วเว้ยยยยยยยยยยย .. ในโลกนี้จะมีสักกี่คน ที่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง จากขอทาน ให้กลายเป็น ฮ่องเต้

 

วันที่ 16 มี.ค. 1 ส.ค. 52  (ย้อนๆ)

                        และนี่ก็เป็นอีกครั้งกับการทำงานกับบริษัทเอกชน เป็นบริษัทที่ทำเกี่ยวกับรับเหมาก่อสร้าง การทำงานที่นี่ต้องหอบข้าวหอบของไปอยู่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี การทำงานตำแหน่งสโตร์นี้ ถือว่าแฮปปี้มาก ต่างจากที่ ลจร. ซึ่งโดนกดดัน แต่ที่นี่สบาย ๆ คนงานหลายๆ คนเรียกเราว่า ลูกพี่ แหมมันช่างชื่นใจจริงๆ เป็นลูกพี่ทำอะไร ๆ ก็ถูกไปหมด ไปไหนมาไหนมีลูกน้องเดินตาม มันเท่หยั่งกับดูหนังเรื่องเจ้าพ่อมาเฟียยังไงยังงั้น ^^ .. ในระหว่างนี้คนที่เราติดต่อช่วงหางานก็โทรเข้ามา ชื่อคุณแอน น้องบอยหรือเปล่า นี่พี่แอนนะจำได้ไหม ที่พี่จะให้ถอดเทปธรรมะน่ะ  จำได้ครับ แต่ตอนนี้ผมได้งานแล้วน่ะครับ  อ๋อไม่เป็นไร งานนี้เป็นงานเรื่อยๆ บอยค่อยๆ ทำตอนเลิกงานก็ได้ ไม่รีบจ้ะ พี่จะส่งเป็นแผ่น DVD ไปให้นะ ว่าแต่ตอนนั้นบอยขอราคาพี่เท่าไหร่นะ  ชั่วโมงละ 300 ฮะ  ได้จ้า งั้นพี่จะส่งไฟล์ DVD ให้ตามที่อยู่นี้นะ  .. พอได้รับแผ่นแล้วร้องจ๊ากเลยครับ พี่เขาเล่นส่งมาตั้ง 80 กว่าไฟล์ 80 กว่าชั่วโมง คิดเป็นเงิน 24,000 บาท ใครจะไปทำได้ แถมเสียงก็ฟังยากด้วย 300 นี่ไม่คุ้มแน่ เลยติดต่อกลับไปว่าทำไม่ไหว .. หลังจากทำงานกับบริษัทนี้ไปพักหนึ่ง ก็มีโทรศัพท์จากสำนักงานใหญ่ติดต่อเข้ามา สวัสดีจ้า นี่พี่เพ็ญฝ่ายบุคคลนะ พี่ขอแสดงความเสียใจกับบอยด้วย เนื่องจากว่าบอยไม่ผ่านการประเมินผลทดลองงาน และจะหมดสภาพการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นไป  โอ๊ยใจหายอีกแล้วคร๊าบ ทำงานที่นี่ได้เงินเดือนเกือบๆ 2 หมื่น คิดเป็นรายปีจะมีรายได้ปีละ 2 แสนเชียวนะ เกิดอาการหมดแรง หมดใจ เนี่ยแหละหนอที่เขาว่า ทำงานกับบริษัทเอกชนมันไม่มั่นคง ซึ้งใจมากครับ .. 2 วันหลังจากนั้นพี่โยก็เรียกมาคุย บอยรู้แล้วใช่ไหมเรื่องประเมิน พี่โทรไปคุยกับสโตร์กลางแล้ว พี่จะให้โอกาสเรานะ เราไม่ต้องกลัวเพราะเรามีเวลาอีกตั้งเยอะให้ปรับปรุงแก้ไขตัวเองใหม่ คือพี่อยากให้เธอตื่นเช้า เป็นสโตร์ต้องตื่นเช้านะ 7 โมงต้องพร้อมทำงานแล้ว  ได้ครับพี่ ผมจะปรับปรุงตัวใหม่ จะตื่นให้เช้าครับ  วันรุ่งขึ้นตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว ตอกบัตรเข้างาน 06.30 ผมอยากทำงานกับที่นี่ ผมไม่อยากไปจากที่นี่ เพราะผมรักที่นี่ครับ นี่คือข้อความที่เราพยายามจะสื่อให้พี่เขารู้ ว่าเราเต็มที่จริงๆ .. ไม่กี่วันจากนั้น คุณแอนก็ติดต่อเข้ามาอีก สวัสดีจ้า นี่พี่แอนนะ งานที่พี่ส่งให้ ยังทำได้อยู่นะ  ได้ครับ แต่ผมขอเวลานิดนึงฮะ วันที่ 1 สิงหาฯ ผมจะกลับกรุงเทพฯ แล้วเริ่มทำงานของคุณแอนให้เต็มเวลาเลยครับ  ได้จ้า  คุณแอนตอบรับอย่างชื่นใจ ตัวเราเองก็ชื่นใจที่จะมีลู่ทางให้ออกจากบริษัทแล้วมีงานรองรับอยู่ เราไม่ชักช้าที่จะสร้างปาฏิหาริย์อีกครั้งหนึ่งโดยการเดินไปหาพี่โยอย่างมั่นใจ พี่โยครับ ไม่ว่าผมจะปรับปรุงตัวดีขึ้นหรือไม่ ผมก็ขอให้ผลการประเมินเป็นแบบนั้น  อ้าวทำไมล่ะ!”  เพราะผมมีลู่ทางที่ดีกว่าครับ .. ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงาน ไกลบ้าน นี้ ทำให้เราเข้าใจในความรู้สึกของคนทำงานบางคน ว่าทำไมตัวเขาต้องขับรถไปกลับ กรุงเทพฯ-ชลบุรีบ้าง กรุงเทพฯ-สมุทรปราการบ้าง นั่นเป็นเพราะว่า ความสุข อยู่เหนือเงินทองและหลักการใดๆ ทั้งปวง

 

วันที่ 1 กันยายน 2552 (ยังย้อนอยู่ *-*)

                        บอยลดหน่อยได้ไหม ชั่วโมงละ 300 มันแพงไป ขอเป็นชั่วโมงละ 250 ได้ไหม  พี่ครับ ถ้าลดให้อย่างนั้น จากราคายอดทั้งหมด 8,200 จะเหลือ 6,700 เองครับ ถ้ามันแพงไปผมลดให้ก็ได้ เป็น 7,000 ครับ  7,000 เหรอ ได้จ้ะ พี่จะลองคุยกับเจ้าของงานเขาใหม่นะ เพราะตอนนี้ตัวพี่เองก็ไม่ได้ทำงานนี้แล้ว คนที่รับช่วงต่อจากพี่ ชื่อพี่กุ้ง ยังไงพี่แอนก็ต้องขอโทษบอยด้วยนะ งานที่เหลือก็อย่าพึ่งทำ ให้สต๊อปไว้ก่อนเลย  ได้ครับ ไม่เป็นไรฮะ .. โอ้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 มันยอดมากครับ T^T เขาส่งมูลค่างานมาให้ทำ 24,000 พึ่งทำเสร็จไป 8,200 ต่อเหลือ 6,700 ซะแล้ว คิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่ยอมออกจากบริษัท

                        จะทำยังไงดีนะเรา จะทำยังไงดี ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เกิดไอเดียผุดคิดมาในหัว เอาล่ะ ผมจะสร้างเว็บ !!” เป็นเว็บที่เกี่ยวกับการรวบรวมผลิตภัณฑ์ของกิน ของใช้ สัตว์เลี้ยง เฉพาะในกรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายเป็นลูกค้าต่างจังหวัด ด้วยข้อความที่ว่า อยากซื้ออยากหา ไม่ต้องมา เพราะเราจัดให้ และก็คิดค่าบริการการติดต่อสินค้าเดลิเวอร์รี่ถึงบ้านประเภทละ 250 บาท .. แต่พอคิดไปคิดมามัน มันจะต้องมีกล้องนะ มีคนถ่าย แล้วเราเป็นพิธีกรสัมภาษณ์เจ้าของผลิตภัณฑ์ แล้วพอสัมภาษณ์เสร็จก็จะต้องมีเสื้อยืดที่มีข้อความเป็นชื่อเว็บมอบให้เขาไป โอ้โห..รายจ่ายทั้งนั้นเลย !!

                        ช่วงก่อนเที่ยงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 9 ก็เลยจัดเตรียมเอกสารแล้วขึ้นรถเมล์สาย 71 มุ่งหน้าสู่ ซ.นวมินทร์ 98 พอรายงานตัวเสร็จแล้วจะได้รับเงิน 4,000 บาท รวยๆๆๆๆๆ พอไปถึงก็หยิบเอกสารมากรอกๆๆ แล้วก็นั่งรอ รอไปรอมา อดไม่ได้ที่จะบ่นกับตัวเองว่า คนก็น้อย ทำไมเรียกช้าจัง – – นั่งไปสักพักโทรศัพท์ดัง โหยตื่นเต้นเป็นบ้า นาน ๆ ทีโทรศัพท์จะดัง สวัสดีครับ  ขอโทษค่ะ โทรผิดค่ะ  โอ้วเสียงผู้หญิงพูด ค่ะ ด้วย ไม่ได้ยินผู้หญิงพูดค่ะมานานมากๆๆๆ เพราะเดี๋ยวนี้ผู้หญิงยุคโลกาวินาศมันพูด ครับ กัน เลยตื่นเต้นจนคนข้างๆ เหลือบมามอง *-* ก็แหมเสียงใสพูดจาชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ ฟังแล้วมันชื่นใจนินา จากนั้นเขาก็วางสายไป เกิดไอเดียใหม่ปิ๊งขึ้นมาทันที เฮ้ยบอยเว้ย จะทำเว็บแบบนั้นทำไมกันล่ะ ทำไมนายไม่ทำเว็บรับพิมพ์งานล่ะ เอ้อจริงสิ ใช่จริงๆ ด้วย ทำเว็บรับพิมพ์งานด่วน ให้เขาส่งไฟล์ หรือส่งเอกสารมา แล้วเราก็รับไปทำ แล้วรับเงิน เหมือนกรณีคุณแอนแค่นั้นเอง!! เฮ้อคนโสดหนอคนโสด คนไร้คู่ไม่มีคนข้างกายก็อย่างนี้แหละ นี่แหละน๊า เหตุผลที่ว่าทำไมใครหลายคนถึงมุ่งที่จะแสวงหาคนเคียงข้าง ก็เพราะพวกเขาแค่ต้องการ เติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไป

 

วันที่ 2 9 กันยายน 2552  (จะถึงวันที่ 10 แล้วเว้ย ฮะๆๆๆ ขี้เกียจพิมพ์เป็นบ้า *-*)

                        ช่วงนี้ก็เป็นช่วงระหว่างตัดสินใจนะ ว่าจะใช้โปรแกรมอะไรทำเว็บระหว่าง Dreamweaver กับ Joomla เห็นเขาบอกว่า Joomla ถึงมันจะแสดงภาษาไทยเพี้ยนๆ ก็จริง แต่ในส่วนของการพัฒนาเป็นเว็บแอปพลิเคชันมันจะดีกว่า อย่างเรื่องของการทำระบบสมาชิก การอัพโหลดไฟล์ของสมาชิก การจัดการฐานข้อมูล ก็มีคำสั่งให้ใช้งาน ไม่เหมือน Dreamweaver ซึ่งต้องอาศัยการเขียนภาษา PHP หรือ JAVA หรืออะไรต่างๆ นานา เข้าช่วย ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรนะ เราถึงได้ตัดสินใจใช้ Dreamweaver ซะงั้น ชีวิตก็เลยจำใจต้องไปศึกษาเทคโนโลยี Ajax เพื่อเอามาควบคุมระบบสมาชิกและอะไรต่อมิอะไรต่างๆ นานา ที่จริงแล้ว Ajax มันก็เป็นตัวเก่า เป็นการใช้ออบเจ็กต์ของ JavaScript ที่ชื่อว่า XMLHttpRequest เท่านั้นเอง ที่แต่ก่อนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เขาเอามาใช้เกี่ยวกับการทำป๊อปอัพกับการสร้างเมนูเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเอามาปัดฝุ่นใหม่โดยการเพิ่มเฟิร์มเวิร์กกับไลบรารี่เข้าไป ส่วนที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดเด่นของ Ajax ก็คือความสามารถในการทำงานอยู่เบื้องหลังของระบบโดยไม่กระทบการทำงานของยูสเซอร์ คือไม่ขัดจังหวะการทำงานของยูสเซอร์นั่นเอง ไปยืนเลือกหนังสืออยู่นาน พอไล่ไปถึงหนังสือ “Ajax ภาคปฏิบัติ ของ Dave Crane อ่านแล้วสนุกดี ไม่น่าเชื่อว่าหนังสือวิชาการคอมพิวเตอร์ อ่านแล้วจะสนุกประทับใจได้แบบนี้ และนี่เองก็เป็นเหตุผลหลักที่เราต้องเลือกใช้ Ajax แทนที่จะใช้ PHP *-* .. ส่วนระบบฐานข้อมูลก็ใช้ของ MySQL เห็นเขาบอกว่า MySQL ที่จริงมันใช้ยาก แต่ตอนนี้มันง่าย เพราะมีโปรแกรม phpMyAdmin Database Manager เข้ามาช่วยบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น

 

วันที่ 10 กันยายน 2552  (2)

                        ที่จริงตอนเลือกซื้อหนังสือ Ajax มันอยู่วันที่ 10 นิ มั่วจริงๆ เรา – –‘ .. เอาล่ะมาต่อจากข้างบนนู้นดีกว่า .. นะจ้ะ เดี๋ยวพี่กุ้งจะโอนเงินให้วันที่ 25 นี้เลย แล้วเดี๋ยวพี่จะให้พี่อีกคน ชื่อพี่ไอซ์ช่วยงานบอยนะ พอวางโทรศัพท์พี่กุ้งปุ๊ป ก็นึกได้ว่าวันนี้จะต้องทวงเงินประกันสังคม เพราะวันนี้วันที่ 10 แล้วแต่เงินยังไม่เข้าบัญชี  สำนักงานประกันสังคมสวัสดีครับ ขอทราบรหัสประจำตัวประชาชนด้วยครับ .. อ๋อในกรณีนี้คือทางบริษัทเก่าของคุณแจ้งมายังสำนักงานประกันสังคมว่า คุณลาออกจากงานน่ะครับ ถ้าข้อมูล 2 ทางนี้ไม่ตรงกัน ทางประกันสังคมก็จะยังไม่จ่ายเงินให้  แต่ผมก็มีเอกสารจากฝ่ายบุคคลยืนยันว่าทางบริษัทเลิกจ้างนี่ครับ  ถ้าคุณถูกเลิกจ้างจริง ให้ติดต่อกับบริษัทเก่าของคุณ เพื่อทำเอกสารแจ้งมายังสำนักงานประกันสังคมครับ  โอ้วพระเจ้า ๆๆๆ พี่เพ็ญนะพี่เพ็ญทำไมทำกับผมแบบนี้ มันเหมือนแกล้งกันชัดๆ สวัสดีครับพี่เพ็ญ ผมบอยนะครับ .. (ก็ชี้แจงพี่เขาไป)  ได้ๆ เดี๋ยวพี่จะกลับไปตรวจเอกสารนะ เพราะตอนนี้พี่อยู่ข้างนอก  สรุปว่าจะได้ไหมนะเงินจากประกันสังคม จากที่ควรจะได้ 32,000 แต่กลับได้ 8,000 งั้นเหรอ .. งานถอดเทป จากที่ควรจะได้ 24,000 แต่กลับได้ 8,200 งั้นเหรอ นี่เราคิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมออกจากบริษัทเก่า .. เนี่ยแหละนะที่พระท่านมักสอนพวกเราว่า คิดจะลงทุนทำอะไร ต้องคิดติดลบ จะโชคดีมีชัยไม่ปราชัยแน่นอน  โชคดีนะเนี่ยที่เราคิดลบเอาไว้แล้ว เลยสบาย ๆ ชิล ๆ  ^o^

Posted in Uncategorized | Leave a comment

31 ธ.ค. 51 – 2 ม.ค. 52

ลุยไปเดี่ยว ๆ  ณ จังหวัดเพชรบูรณ์
 
(กำลังอัพเดทฮะ)
Posted in Uncategorized | Leave a comment

Dairy

วันที่ 26 ธันวาคม 2551
          “สวัสดีครับพี่ๆ คิดถึงพี่ๆ มาก วันนี้เลยแวะมาเยี่ยมครับ” เราทักทายพี่ณุขณะผลักประตูกระจกเข้าไปใน สสบ. “อ้าวว่าไง” (ยิ้ม – จับมือ ตบไหล่ ตามสไตล์พี่เขา) .. “โหบอย พอดีเลยกำลังต้องการตัว ทำงานเป็นไงมั่งที่นั่น” จังหวะนั้นพี่ยศ พี่เล็ก พี่นก ก็ปรี่เข้ามาทักทาย ก็ตอบไป ยิ้มแก้มปริไป พี่ๆ ยังน่ารักกันเหมือนเดิม .. โดนพี่ๆ รุมสัมภาษณ์ประมาณ 9-12 นาที ต้องกระดึ๊บหนีไปทักทายพี่คนอื่นบ้าง ก็มีพี่แม้ว น้าอ๋อย แล้วก็พี่โอ๋ แต่ดูเหมือนว่าพี่โอ๋จะดีใจที่สุดที่ได้เจอ “บอยจะมาทำไมไม่บอกพี่” (อ้าวลืมโทษครับพี่) “พี่จะได้พาไปเลี้ยงข้าว คราวนั้นก็บอกจะไปกินกันก็ไม่ได้ไป .. เนี่ย บอยรู้เปล่า คนที่ไปทานข้าวกับพี่นกทุกคนออกกันทุกคนเลย ดูสิ พี่นกทานข้าวกับบอย บอยได้ไป พอพี่นกทานข้าวกับพี่แหม่ม พี่แหม่มก็ได้ไป คราวหน้าเดี๋ยวพี่ให้พี่นกไปเลี้ยงข้าว พี่จะได้ย้าย” พี่โอ๋หันไปมองพี่นกแล้วหัวเราะ “อ้าวแล้วพี่ปุ๋ยล่ะครับ สงสัยได้โดนย้ายแน่ๆ” (หัวเราะ) “ว่าแต่ทำไมวันนี้ถึงได้มาล่ะ” “คือก่อนหน้านี้พี่แหม่มโทรมาบอกว่า ได้ย้ายจากไปอยู่ชั้น 2 แล้ว ตอนนี้ สสบ. ขาดหัวหน้าธุรการ แล้วผู้ช่วยโญประสบอุบัติเหตุ อีก ถึงขนาดนี้บอยไม่มาไม่ได้แล้วครับ” “อ้าวแล้ววันนี้ทำไมถึงมาได้ล่ะ” “คือวันนี้ที่นั่นเขาจัดงานกีฬามหาสนุก บอยก็เลยแอบมา” จากนั้นเราก็แอบเนียน ย่องไปนั่งข้างๆ ป้าพิมซึ่งกำลังนั่งพิมพ์คอมฯ อยู่ “อันไหนอ่านไม่ออก ให้ผมช่วยแกะนะ” “อ้าว! บอย.. พอดีเลยอยากเจอ มีเรื่องจะคุยด้วย” จากนั้นป้าพิมซึ่งเป็นผู้อาวุโสของธุรการ ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง แค่ฟังแล้วก็เหนื่อย เหนื่อยครับเหนื่อย .. “อ่ะบอย ปฏิทินปีใหม่” พี่นกทัก “อ่ะขอบคุณครับ ลายกล้วยไม้สวยดี แต่ตรงวันที่นี่ ทำไมมันเรียงแบบนี้ล่ะครับ” “นั่นสิพี่ก็ไม่รู้ ดูยากด้วย จะจดไรลงไปก็ยาก” เรายิ้มรับด้วยความดีใจว่ามาทีไรได้ของติดมือไปทุกที “บอยกลับมาสิมาทำงานกับพี่ๆ กลับมาแล้วเดี๋ยวมีเลี้ยงรับได้สลากทวีสินอีกดีนะ ที่นี่น่ะเขาต้องการบอย พอไม่มีบอยล่ะแย่เลย” “ครับ ผมเองก็เป็นห่วงมาก อยากกลับมาทำงานกับพี่ๆ อีกครั้ง แต่คราวนี้จะอยู่นานเป็น 10 ปีเลย” พี่นกพยายามพูดกล่อมให้เราใจอ่อน รักครับรัก รัก ธ.ก.ส. ก่อนที่เราจะก้าวเข้ามาในนี้ เราในวันนั้นกับวันนี้มันต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ ตลอดเวลา 5 ปีที่ทำงานกับพี่ๆ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าที่นี่เป็นนายจ้าง แต่รู้สึกว่าที่นี่น่ะคือบ้าน คือโรงเรียน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พี่ๆ มอบให้ มันมากมายมหาศาล โดยเฉพาะการบริการด้วยใจซึ่งใช้หลัก 5 ใจทำงาน (ว่าแล้วก็รำลึกถึงอดีต เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2546 เป็นวันแรกที่ได้เข้ามาทำงานกับ ธ.ก.ส. สังกัดฝ่ายทรัพยากรบุคคล แผนกสรรหาคัดเลือก มีพี่กุ้ง พี่โอ พี่ป้อม พี่สุวรรณ พี่นพ พี่เกศ พี่หนูเล็ก พี่หนิง พี่พล และพี่อ้อย งานบุคคลจะมีปัญหามาก แต่พวกเราทุกคนก็สนุกและสามัคคีกันดี .. คิดถึงวันหนึ่ง วันที่ไปโรงพิมพ์ของคุรุสภาเพื่อผลิตข้อสอบแล้วลืมเชือกฟาง คิดถึงวันที่นั่งทานข้าวกับคนๆ หนึ่ง ตอนหลังมารู้ว่าเขาคือ “รองผู้จัดการธนาคาร” คิดถึงวันที่ได้จับมือกับ “ผู้จัดการธนาคาร” ตอนที่ท่านเกษียณอายุ คิดถึงตอนที่ไม่มีงานแล้วชั้น 6 ดึงไปช่วยงานบัญชี .. วันที่ 1 กรกฎาคม 2548 ทำงานครั้งแรกกับฝ่ายส่งเสริมการเรียนรู้ ส่วนฝึกอบรม .. คิดถึงตอนนั้น ตอนที่อยู่ๆ โดนผู้ช่วยกุ้งเรียกไปอบรมในห้องเรื่องการพูดจา คิดถึงวันที่โดนพี่เจ๊ะโกรธแล้วพี่เขาโกรธเป็นปี จนเราต้องง้อ 3 ครั้ง ในที่สุดก็สำเร็จ “ฮัลโหลบอย นี่พี่เจ๊ะนะ เดี๋ยวบอยมาที่พันธุทิพย์ 2 นะ พี่จะเลี้ยงข้าว” (เอิ๊กๆ) คิดถึงวันที่โดนพี่อุ๊ดุอย่างแรง แล้วเรียกให้กินลูกชิ้น เค้ก ไก่ KFC  คิดถึงวันที่ขึ้นรถไปกับลุงยศแล้วโดนพี่เขาดุ “เอ็งทำไมไม่มานั่งหน้า เอ็งเห็นข้าเป็นคนขับรถเหรอ มานั่งหน้า !!”  คิดถึงวันที่พี่ตู่ให้ถือเอกสารไปส่งที่โรงแรม แต่ดันลืมเอกสารไว้ในห้องน้ำ คิดถึงวันไปสัมมนาที่บ้านทิพย์สวนทองแล้วแดนซ์ได้ตุ๊กตาหมี  คิดถึงตอนที่ไปอบรมการรับโทรศัพท์แล้วพิธีกรให้ออกไปเต้นจิ้งจกหน้าห้อง  คิดถึงตอนที่ขนเอกสารเป็นตันๆ กับพี่ยุทธพอจบ สลบกันทั้งคู่  คิดถึงวันที่ขวัญเข้ามาทำงานแล้วให้ช่วยออกข้อสอบ เขาคงไม่รู้ว่าวันนั้นคอมฯ เราเจ๊ง ต้องลงวินโดว์ใหม่ ลงออฟฟิศใหม่ พอวันรุ่งขึ้น “ไหนล่ะข้อสอบ” “อ่ะนี่ไง” (ยิ้ม) คิดถึงตอนที่ฯลฯ .. จากวันนั้นถึงวันนี้ วันที่เราจะต้องออกจากส่วนฝึกอบรม ออกจาก ธ.ก.ส. ในวันที่ 31 ตุลาคม 2551) ช่วงวันที่เราจะต้องออกจากที่นี่ พี่ๆ ยังคงความน่ารัก ทั้งให้เงิน ให้ของขวัญ ให้สลากทวีสิน พาไปเลี้ยงข้าว คิวเลี้ยงข้าวกลางวันจะมีเยอะมาก ยาวถึงวันที่ 7 พ.ย. แน่ะ เราเดินทักทายพี่ๆ ได้ครึ่ง ชม. ก็ขอลากลับ ไปต่องานกีฬามหาสนุก ของ สนข. อีก
          เรารีบเดินกลับไป สนข. เพื่อร่วมงานแข่งกีฬามหาสนุก งานนี้โดนจับแข่ง “สาลิกาป้อนเหยื่อ” เฮ้อซวยเป็นบ้า คือเขาจะให้เราคาบหลอดกาแฟแล้วเดินไปส่งให้อีกคนหนึ่งจนครบ 10 วง นี่ยังดีนะ พี่อีกคนโดนจับให้เล่นตีกอล์ฟเห็นละสงสาร คือเขาจะให้เอามะเขือยาวผูกไว้ด้านหลัง แล้วให้มะเขือยาวตีลูกมะนาวส่งต่อให้อีกคน โหยยย ทำไปได้ .. พอตอน 18.00 น. เป๊ะ ตอนนี้จะเป็นช่วงกิจกรรมสังสรรค์แจกของขวัญ ประกาศรางวัล ส่วนของกินก็มีลูกชิ้น ขนมปากหม้อ ส้มตำ เครป ไก่ย่าง และอื่นๆ อีกเยอะแยะ แต่ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็น “เบียร์”  ^o^
 
วันที่ 27-28 ธันวาคม 2551
          “น้องๆ ช่วยดูคอมฯ ให้พี่หน่อยนะ พี่วางไว้หน้าห้องน้องละ” แอบดีใจว่างานนี้ได้ตรังค์แน่ๆ เพราะมันดูไม่ยากน่ะ เห็นเขาบอกว่าไฟไม่เข้า น่าจะเป็นที่พาวเวอร์ซัพพลาย ซื้อเปลี่ยนใหม่แค่ 350 บาทเอง พอลองเสียบสายแล้วเปิดฝาดู เท่านั้นแหละ “เฮ้ยทำไม ไฟเข้าเมนบอร์ดล่ะ” แต่ทำไมมันกดไม่ติดนะไอ้ปุ่มพาวเวอร์เนี่ย “งั้นลองถอดแรมมาเช็ดซักหน่อยสิ” ก็ถูๆ ไถๆ ไปตามเรื่องตามราวไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า “อ่า แวววาว (อิอิ)” ก็เลยเสียบกลับเข้าไปใหม่ .. “ปิ๊ปปปปปป   ปิ๊ปปปปปป  ปิ๊ปปปปปป” (เงียบ)  อ้าวล่ะสิ ซวยแล้วไง ร้องอย่างงี้ไม่ CPU ก็ Main board แล้ว โหยแพงโข 2,000 อัพแน่งานนี้เพื่อน ก็เลยรื้อๆ แงะๆ CPU ออกมาดู “พี่คิดว่าอะไรเสียเหรอ” เจ้าของเครื่องเดินดุ่ยๆ เข้ามานั่งในห้องชะเง้อมองในเคสคอมฯ อย่างสนใจ “ไม่ CPU ก็ Main board น่ะครับ แต่ตอนนี้ผมสงสัย CPU มากกว่า” เราตอบไปแบบขอไปที แล้วก็ถามตรงนู้นตรงนี้คืออะไร เห็นว่าสนใจดี เลยวานให้ช่วยถอดฮีตซิงค์ CPU ซะ (ฮะๆๆ แกล้งมัน) แต่มันถอดยากจริงๆ นะรุ่นนี้เนี่ย .. 45 นาทีผ่านไป ในที่สุดก็แงะมันสำเร็จ เป็น Socket 478 “ไอ้สีขาวๆ นี่มันเลอะอะไรเหรอครับ” “อันนั้นเป็นยางซิลิโคนน่ะ ใช้ทาช่วยระบายความร้อน” ว่าแล้วเราก็หยิบ CPU ขึ้นมาดูอย่างพิถีพิถันว่า มีร้อยไหม้ไหม มีรอยบุ๋มตรงไหนหรือเปล่า ขาไหนมันงอหรือบิ่นบ้าง แต่ก็ไม่นะ ดูปกติดีตามแบบฉบับของ P4 Celeron “งั้นเดี๋ยวเรามาลองถอดเครื่องผมแล้วเปลี่ยน CPU ใส่กัน จะได้รู้กันไปเลยว่ามันเสียจริง” “แล้วมันจะใส่ได้เหรอ” “โหยใส่ได้สิ ต้องใส่ได้ P4 เหมือนกัน” แล้วเราก็เริ่มแงะเจ้า Metalyob เครื่องนี้ ใช้เวลากว่าครึ่ง ชม. กว่าจะแยกชิ้นส่วนสำเร็จ (เฮ้อทำไมมันยุ่งยากอย่างนี้นะ) “อ้าวเสียบไม่ได้ (เอิ๊กๆ) ผมลืมไปว่า CPU เครื่องนี้มันเป็น Socket 423 ซึ่งเป็นรุ่นที่หายากมากๆ ของ CPU P4 *o*” “อ้าวแล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะครับ” “งั้นไว้เดี๋ยวผมค่อยดูให้พรุ่งนี้อีกทีละกันนะครับ” แล้วเราก็เริ่มประกอบคอมฯ ของตัวเองอย่างระมัดระวัง
          “โว้ยติดสิวะ ติดสิๆๆ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก – คอมฯ ผมเจ๋ง ไม่น่าไปรื้อมันเลย”  T^T
          พอตื่นมาตอนเช้า คอมฯ เราก็ใช้ได้ แล้วรู้สึกว่าระบบดีขึ้นด้วย ^o^  แต่ช่างเถอะยังมีเครื่องที่เราจะต้องมาแก้กันต่อ (สู้ๆ) เราใช้กลยุทธง่ายๆ เบสิกๆ ที่เรียกว่า “ปัดฝุ่น” ก็ปัดไป ปัดๆๆๆๆ ขัดๆๆๆๆ เช็คๆๆๆๆ แล้วก็เป่าๆๆๆๆ พอประกอบกับเข้าไปใหม่อีกครั้ง “ปิ๊งๆๆๆ” แหม..เรานี่มันเก่งจัง ซ่อมได้ละ ^^  ก็เลยเปิดเครื่องเทสต์ระบบ แต่ยอมรับนะเครื่องเขาแรงจริง แต่เอ๊ะ !  “ทำไมเอารูปผู้ชายขึ้นหน้าเดสก์ทอปหว่า“ ทำหน้างงนิดนึงตามประสาคนพึ่งตื่น ก็ลองเปิดเข้าไปใน My Com “ว้าวเพลงเยอะดี ใช้ Window Media เปิดดีกว่า” พอเปิดโปรแกรมเข้าไปเท่านั้นแหละครับ “แว๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ทั้งแท่งเลยครับ เต็มหน้าจอเลยครับ โว้ยเฮ้ย นี่มันไรกันฟะเนี่ย จากนั้นเราจึงรุดเข้าไปในโฟลเดอร์อย่างละเอียด เห็นโฟลเดอร์ชื่อ “xxx” เอาล่ะสิงานนี้ – -‘
          พระเจ้า !!  นี่มันชายกะชายนะเนี่ย ทั้งนั้นเลย – เมื่อคืนโชคดีไม่เมา ไม่งั้นมีหวังโดนจับเปิดซิงแหง ๆ  O_o
         
Posted in Uncategorized | Leave a comment

Update

วันที่ 23 กรกฎาคม 2551


          ล่วงเลยมากว่า 7 เดือน ที่ไม่ได้ เปิดเจ้าคอมพิวเตอร์เพื่อนรัก เพราะในที่สุด ตัวเราก็แพ้ใจ ตัดสินใจซื้อจอตัวใหม่แทนจอเก่าที่พังไปเมื่อประมาณกลาง ๆ เดือนมกราคม แบบกู่ไม่กลับ วันที่ 11 ก.ค. มีโอกาสได้ไปเดินพันธุ์ทิพย์แล้วถูกใจจอ CRT แบบ Flat ตัวหนึ่ง ราคา 2,720 ของ LG ก็ตัดสินใจซื้อ (เดินดู ชม. กว่า ตอนตอบคนขายว่า “ซื้อ” คนขายทำหน้างง ๆ งืม เราเองก็งง ><) แต่กว่าจะแบกมาถึงหอพัก เล่นเอาหอบ เพราะว่ารถแท็กซี่ไม่ยอมไป ก็เลยต้องข้ามฝั่งไปโบกอีกครั้ง โบกอยู่นานสองนาน คนแล้วคนเล่า คนขับก็ส่ายหน้า ๆ เลยใช้แผนใหม่ เดินตรงไปที่ไม่ค่อยมีคน แล้วยืนดูหน้าคนขับ ว่าเราถูกใจคนไหน “อ่ะ คนนี้ ๆ” โบกทีเดียว “ไปครับ” พอถึงห้องก็จัดแจงประกอบ แต่แหม แค่แกะกล่องเฉย ๆ ยังต้องมีวิธีการด้วยนะ ตัวเราเองก็ดันฉลาดน้อยทำโฟมบรรจุขาด ประกอบเสร็จ ก็เปิดเทสต์แล้วลงไดร์ฟเวอร์จอนิดหน่อย เจอไฟล์เก่าที่ยังทำไม่เสร็จ แทบร้องไห้ เพราะไฟล์สุดท้ายที่กำลังทำก่อนจอจะพังไป คือไฟล์วาเลนไทน์ ที่จะส่งให้คน ๆ หนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ยังไม่เสร็จ..
           ช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน ตัวเราเองครุกอยู่แต่ในโลกออนไลน์ คิดแล้วช่างน่าเศร้าใจจริง ๆ ว่าถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์นิต้องตายแหง ๆ แต่ว่านะ..สิ่งที่ตัดสินใจซื้อจอจริง ๆ ก็คือ “งาน” เพราะตอนนี้วางแผนจะรับงานพิมพ์มาทำ หน้าละ 3 – 6 บาท แผนการดำเนินการก็คือ (อันนี้เป็นงานเป็นการนิดนึง)
           1)  แปะสติ๊กเกอร์ไว้ตามเสาไฟฟ้า ตู้โทรศัพท์ ย่านที่มีคนนั่ง ว่ารับงานพิมพ์ ที่นี่นะ เบอร์นี้นะ โดยสติ๊กเกอร์ต้องเป็นแบบลอกได้ไม่ทิ้งคราบกาว (ใครอยากฉีกทิ้ง ฉีกไป – -)
           2)  วิธีการรับ-ส่งงานต้นฉบับ คือผ่านแม่บ้านที่ห้อง 105 และก็จะให้ค่าจ้างแม่บ้านจ็อบละ 5 บาท ในการรับงาน และส่งต้นฉบับพร้อมรับเงินจากลูกค้า
           3)  ต้องใช้เวอร์ชั่นให้ตรงกับสเปคของลูกค้า แล้วเราจะต้องเตรียมพร้อม มีให้ครบทุกเวอร์ชั่น เพราะงานที่จะส่ง จะส่งเป็นไฟล์งาน (ไม่พริ๊นให้)
           4)  วิธีการส่งไฟล์งาน ถ้าเป็นงานที่มากกว่า 50 หน้า หรือไม่เร่งด่วน จะเซฟใส่แผ่นดิสเกต เพื่อป้องกันการชิ่งหนีของลูกค้าที่มีปริมาณงานมาก ส่วนงานเล็ก ๆ หรือเร่งด่วน ก็จะส่งทาง e-Mail “สวัสดีครับ คุณนายยิ้มแฉ่ง งานที่ให้พิมพ์เสร็จแล้วนะครับ และผมได้ส่งไฟล์งานไปที่อีเมลล์ให้แล้ว มารับต้นฉบับได้ที่แม่บ้านห้อง 105 นะครับ”
           5)  บริการหลังส่งงาน ใช้หลัก “การบริการด้วยใจ” คงไม่ต้องพูดถึงเนอะ เพราะมันเยอะแยะ และก็ยุ่งเหยิงตีรันพันตูอยู่ในหัวนี่ล่ะ ><
           อ่า.. เป็นไงล่ะ เวิร์คมะ เพราะว่าตอนนี้เป็นจังหวะ เป็นโอกาสที่ร้านพิมพ์งาน 2 ร้านยุบกิจการไป (แล้วเราจะรอดไหมเนี่ย) ก็ไม่เป็นไร นิด ๆ หน่อย ๆ พอกินพอใช้ เราก็อยู่ได้ละ ^^

Posted in Uncategorized | Leave a comment

ธันวาคม

(ไว้มาจัดใหม่)

 

วันที่ 1 ธันวาคม 2550

            เช้านี้มีเงินเหลือติดตัว 20 กว่าบาท แต่ต้องใช้ไปจนถึงวันที่ 3 แล้วจะทำไงดีล่ะ โชคดีที่มีเงินฝากในแบงค์กรุงเทพ เลยไปถอนมา 150 บาท ซอมบี้เดินได้เลยกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอีกนิด นึกขึ้นได้ว่าโดนพี่ที่ทำงานแย้งมาเกี่ยวกับการเรียนต่อคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ พี่เขาว่า ถ้าอธิบายกันง่าย ๆ ก็คือเรียนเป็นช่างคอมฯ แต่ถ้าเป็นเมืองนอกจะเป็นอีกอย่าง เขาเรียนเพื่อสร้าง เพื่อประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ แต่ถ้าเมืองไทยมันไม่ใช่ ไปเรียนวิทย์คอมมีเขียนภาษาเยอะแยะโปรแกรมทั้งนั้น ดีกว่าอีก ก็แหมนั่นแหละครับพี่ที่ผมตั้งใจน่ะ มีหลาย ๆ อย่างที่อยากประดิษฐ์แต่ขออุบไว้ก่อนเพราะไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่านั่นเอง การเรียนเขียนโปรแกรมอะไรนั้นเราว่ามีคนทำเยอะและเราเองก็ไม่ได้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มานั่งเขียน ๆ โปรแกรมอะไรเนี่ย น่าเบื่อจะตายทำไมจะไม่รู้ มานั่งประดิษฐ์ประดอยคิดค้นสิ่งใหม่ให้ชาวโลกตะลึงและประเทศไทยไม่น้อยหน้าเรื่องเทคโนโลยีอย่างจริงจังมันจะดีกว่าอีก ว่าแล้วเลยไปเสิร์ชข้อมูลของ ม.รามฯ คณะวิศวกรรม ที่ www.eng.ru.ac.th และแล้วก็ได้ข้อมูลที่ต้องการ แหมถูกใจจริง ๆ ที่รายละเอียดของคณะนี้ มันทำให้เราคิดยังไงก็ใช่เนี่ยล่ะ ใช่เลย

            จากนั้นก็มาทบทวนสถานที่เที่ยวของภูกระดึง เราว่ามันแพงไปนะ เราต้องเก็บเงินเรียนต่อวิศวะซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ตอนนี้ก็เก็บได้ละ 12,500 บาท (เก็บ 6 เดือนเฉลี่ยเดือนละ 2,000) เดือนพฤษภาปี 51 ถึงจะได้เรียน … นอกเรื่องไปซะละเรา มาต่อที่เที่ยว บ๊ายบายภูกระดึงไม่เอาดีกว่า คิด ๆ ดูแล้ว เรานั่งจำศีลอยู่ในห้องดีกว่า เดี๋ยวเงินเก็บมันจะไม่พอ … แต่ก็ยังอยากหาที่ไปอยู่ดีนั่นแหละ มีที่ไหนที่จะได้ไปเที่ยวแบบไม่เสียตรังค์บ้างนะ

           

วันที่ 2 ธันวาคม 2550

            วันนี้มาอัพเดทสเปซซะหน่อยเพราะดูเหมือนที่ทำเมื่อวานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็มีปัญหา แก้ไม่ได้ซะที slideshow.com เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนว่าวิธีแก้จะนึกขึ้นได้ละ แต่ก็อีก ไม่อยากทำ ขืนทำต้องเสียเงินค่าเน็ตอีกโขเลย เงินก็มีน้อย ๆ อยู่ เลยรีบ พี่ครับ ออก พอกลับถึงห้องก็มีผ้าให้ซัก ก็ไม่อยากซัก ทำไมเดี๋ยวนี้มันขี้เกียจจังเรื่องซักผ้าเนี่ย กองเต็มห้อง ทั้งถุงเท้าเอย เกงในเอย เต็มไปหมด แต่โชคดีที่ไม่มีใครเข้ามาดูหรอกว่าห้องเราเนี่ย มันเน่า แต่ไม่เป็นไรถึงกระนั้นบรรยากาศในการอ่านหนังสือก็ยังคงเต็มเปี่ยม (เปี่ยมมากขนาดอ่านได้ 5 นาทีแล้วหลับ ยาว…)

 

 

 

วันที่ 3 ธันวาคม 2550

            อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์หัวหน้าสั่งให้ใส่เสื้อเหลืองมาตลอดเพื่อเฉลิมฉลองให้ในหลวงของเรา แต่พี่ไม่ต้องบอกผมก็ใส่เหลืองมาทั้งอาทิตย์อยู่แล้วน่า (เพราะเสื้อสีอื่นไม่ได้ซัก) เรื่องงานก็ยุ่งวุ่นวายตลอด เช้านี้ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องบันทึกตรวจรับ จนเย็นก็ไม่ได้ทำเพราะ ด่วน ๆ ๆ ๆ ยันเต

 

วันที่ 4 ธันวาคม 2550

            ในที่สุดพรุ่งนี้ก็ได้หยุดอีกหนึ่งวัน หวังว่าวันนี้คงไม่มีใครมากวนนะ แต่แล้ว สมุดโน้ตงานของเราก็เขียนหมดหน้ากระดาษ งาน ๆ ๆ ๆ โอ๊ย แย่แล้ว ทำไมงานพวกนี้มันวุ่นวายจัง คนก็ด้วย อยากเคลียร์เป็นเรื่อง ๆ ก็ทำได้ยาก ช่วงเย็นพี่เขาให้อยู่ช่วยงานจน 1 ทุ่ม ได้ติ๊บด้วย 200 บาท (ดีใจ) พอเสร็จ ผอ.ก็เลี้ยงพิซซ่ากะเคเอฟซี อิ่มเลย ว่าแล้วก็ชวนดูพลุเฉลิมฉลองวันพ่อ แต่เราว่าดึกไปเพราะกว่าจะจุดตั้ง 3 ทุ่มกว่า เลยขอกลับก่อน แต่ก็เสียดาย เพราะหวังว่ายังมีใครบางคนอาจจะมา … อ้ออีกเรื่องเพื่อนฝากโอนเงินค่าหอเข้าบัญชี 5,806 บาท เรียบร้อยแล้วนะ ว่าแต่เงินเดือนนาย 7 พันกว่า จ่ายค่าหอเกือบ 6 พัน ไม่คิดว่ามันจะอดตายหรอ ?

 

วันที่ 5 ธันวาคม 2550

            เช้าวันหยุดนี้ตื่นมาก็สายอีกตามเคย มีสิ่งที่ตั้งใจอยากจะทำอยู่หลายอย่างแต่แล้วตัวเราเองกลับไปเล่นเกมส์กว่าจะเลิกก็ 3 ทุ่ม สิ่งหนึ่งที่เรียกให้เราเข้าไปก็คือกระทู้ข้อมูลท่าเต้นเกมส์ออดิชั่นที่เราทำเนื่องจากวันนี้เป็นวันที่ตั้งกระทู้นั้นครบ 1 ปี มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ท้าทายตัวเรามาก กว่าจะปั้นกระทู้นั้นได้ ต้องมานั่งคิด นั่งออกแบบวิธี ไม่มีผู้ช่วย ไม่มีค่าจ้าง มีแต่เสียงเรียกร้องขอให้เกิดกระทู้แบบนี้ และเราเองก็ไม่ใช่อัจฉริยะที่จะปั้นสิ่งนั้นให้เสร็จใน 1 วัน มันใช้เวลากว่า 22 วันเลยทีเดียวแต่ก็สำเร็จในระดับหนึ่งเนื่องจากตัวเกมส์เองมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทำให้เกิดปัญหาซึ่งเราต้องมาคอยตามดูตามเก็บแบบที่ว่านับ 1-100 ใหม่อยู่หลายครั้ง แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ใครบางคนอาจคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น ไปลอกแบบใครมาหรือเปล่า ซึ่งตัวเราเองขอปฏิเสธ ข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆ เป็นเพียงแรงบันดาลใจให้เกิดสิ่งนี้เท่านั้น การที่เราให้เครดิตคนเหล่านี้ในกระทู้เพราะต้องการให้เกียรติในความพยายาม เรารู้สึกภูมิใจที่ได้มีโอกาสสร้างสรรค์ในฐานะของเกมเมอร์คนหนึ่ง

 

 

 

วันที่ 6 ธันวาคม 2550

            วันนี้เป็นวันเกิดน้องสาวเราก็เลยโทรไปแฮปปี้เบิร์ธเดย์ซะหน่อย ปรากฏว่าน้องโทรมาขอของขวัญวันเกิด ขอกินไก่ KFC เราเองก็ให้ วันเสาร์พี่ว่าง เป็นวันนั้นละกัน

 

วันที่ 7 ธันวาคม 2550

            เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทำงานพลาดแล้วต้องควักตรังค์ตัวเองจ่าย สิ่งที่พลาดนี้คือไรท์ซีดีเกิน 40 แผ่น แต่ก็ไม่เป็นไรซื้อคืนให้ได้

 

วันที่ 8 ธันวาคม 2550

            ต้องเตรียมปฏิทินไปฝากอาม่าด้วย วันนี้ตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำเตรียมตัวเพื่อ กลับถิ่นตอนเดินไปบ้านอาม่าก็ลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ เพราะมีพวกจิ๊กโก๋นั่งขวางทางเดินอยู่ เราเองก็ข่มความกลัวไว้เพราะพกเงินมาเยอะ พวกนั้นก็ 6-7 คน ข่มความกลัวว่าจะไม่โดนทำร้าย ไม่โดนปล้น แล้วก็ไม่จริง ๆ พวกนั้นได้แต่มอง พอไปถึงอาม่าก็ไม่อยู่อีกไปไหนก็ไม่รู้ เราจึงวางปฏิทินไว้บนโต๊ะให้เขา ซึ่งเขาจะรับหรือไม่รับก็เรื่องของเขา เอาเป็นว่าเรามาถึงแล้วและฝากของให้ละกัน เรียบร้อยแล้วก็รีบไปที่เดอะมอลล์ (ท่าพระ) แทนที่จะไปสั่งไก่ที่ชั้น 1 เรากลับไปนั่งกินข้าวที่ชั้นใต้ดิน หิวมาก หิวจนตาลาย ได้เวลาอาหารตั้งนานแล้วยังไม่ได้กิน จะเป็นลมเอา เรียบร้อยแล้วจึงมาสั่งไก่เผอิญน้องโทรมาพอดีบอกว่าให้ไปรอที่นั่นเลย โธ่น้องเอ๊ย พี่น่ะมานั่งสั่งไก่ไว้บนโต๊ะแล้ว พอมาถึงก็นั่งคุยกัน ตัวเรามีเรื่องคุยเยอะแยะ แต่แม่กับน้อง ๆ ไม่มีเรื่องคุยอะไร ทำให้เราต้องเปิดคำถามบ่อย ๆ การพบกันครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าอนาคตของน้อง ๆ ฝากไว้ที่เรา น้องชายมานั่งข้าง ๆ มันก็ยังตัวเหม็นเหมือนเดิม เป็นกลิ่นเหม็นสาบที่ไม่ได้อาบน้ำ หรือไม่ได้ซักเสื้อผ้า ส่วนน้องสาวก็ผอมบาง แม่บอกน้องเรียนตก 11 วิชา เราเองก็พูดไม่ออกเพราะสมัยนั้นที่เรียน ม.1 หรือมัธยมต้น เราเรียนได้ในอันดับ TOP ของห้อง แต่น้องชายกับน้องสาว กลับเรียนได้ต่ำสุดของห้อง เราคบเพื่อนที่ดี แต่น้อง ๆ คบคนแบบที่เราไม่เคยไว้ใจ เรากินสิ่งที่เป็นประโยชน์บำรุงร่างกาย แต่น้อง ๆ กลับเลือกกินสิ่งที่ว่าอร่อย เราเองก็ทำอะไรไม่ได้ พ่อกับแม่ทะเลาะ แยกทางกัน สภาพแวดล้อมแบบนี้น้องเราจะเป็นเด็กดีเรียนเก่ง เห็นทีมันคงจะเป็นแค่ความฝันที่เลือนลอย … แต่ช่างเถอะ ยังไงซะ ตัวเราก็จะขอฝันฝ่าอุปสรรคที่ขวางทางตลอดเวลา เรากัดฟันสู้เพื่อจะเดินต่อไปอย่างเต็มที่และไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นว่าจะมีอะไร รอเราอยู่ข้างหน้า

 

 

วันที่ 9 ธันวาคม 2550

            ตื่นมาแต่เช้าไปหาของกิน แล้วก็หลับ ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบเที่ยง งงตัวเองเหมือนกัน เอ๊ะเราละเมอหรือเปล่าเนี่ย พอตื่นขึ้นมาหิวอีก เรียบร้อยแล้วก็หาหนังสือมาอ่าน ซักพัก กริ๊งงงงง ว่างเปล่า มาเดินบางลำพูกับพี่หน่อย เดี๋ยวเลี้ยงข้าวด้วย ไม่ใช่ใครที่ไหนพี่เจ๊ะนั่นเอง (พี่ที่ทำงาน ตอนนี้ย้ายไปอยู่ สนจ.สุราษฎร์ธานี) ทำไมอยู่ ๆ โทรมาเรียกเรานะเงินก็ไม่ค่อยจะมีอยู่ เมื่อวานก็หมดไปเป็นพัน แต่ไม่เป็นไร ไปก็ไป เพราะพี่เขาอุตส่าห์ขึ้นมากรุงเทพฯ ทั้งที แต่พอไปถึงก็เหมือนเดิม ไม่เคยได้อะไรจากพี่เลย มีแต่พี่เขากอบโกยไปจากเรา เนี่ยยืมหนังสือไปเล่มหนึ่งไม่รู้จะคืนมาหรือเปล่า ประมาณ 6 โมงจึงขอกลับก่อนเพราะพี่เขาชวนไปงานแต่งเพื่อน กว่าจะถึงห้องก็ 2 ทุ่มเข้าไปละ เหลือบมองกระเป๋า แทบร้องไห้เพราะหมดไปเกือบร้อยบาทแล้ว เดือนนี้ตั้งใจเก็บซัก 2,500 ตอนนี้คงทำได้แค่ 1,000 ซะละมั๊ง คิดอยู่ว่าคืนนี้จะนอนละเมอเรื่องเงินอีกหรือเปล่า

 

วันที่ 14 ธันวาคม 2550

            “MP4 พี่ปุ๊ยมันเปิดไม่ได้แน่ะ วานบอยช่วยเอาไปให้ช่างเขาดูให้หน่อยนะ เรากะว่าสัปดาห์นี้จะไม่ไปพันธุ์ทิพย์ซะหน่อย หัวหน้านะหัวหน้าทำให้เราต้องไปจนได้ แต่ก็ได้ ไปก็ไป พอไปถึงก็เดิน ๆ หาร้านที่ซื้อ MP4 มา พอถึง เห็นในร้านไม่เจอผู้ชายที่ขายของให้เรา แต่เห็นมีพนักงานสาวอยู่ 2 คน มาทำอะไรหรอคะ พนักงานสาว (2) เหลือบมองกล่องที่เราถืออยู่ก็ทักต่ออีกว่า เชิญทางนี้ค่ะ แบตหมดหรือเปล่า ไว้อีก 20 นาทีค่อยมาใหม่นะคะ …เอ ยังไงหว่า อย่าบอกนะว่าอันนี้แบตหมดจริง ๆ แล้วพี่เขาชาร์ตไม่ได้หรือยังไงนะ ตัวเราเองก็ไม่ได้เทสต์ตรงนี้ แค่ลองเปิดดูเฉย ๆ แล้วไม่ติดก็ตื่นเต้นตามพี่เขาซะละ ก็เลยไปนั่งรอที่หน้าห้าง กะว่าให้เวลา 30 นาทีเดี๋ยวจะเดินไปใหม่ พอไปถึง !  พนักงานสาว (1) ทำไมไม่ติดกันกระจกล่ะคะ เดี๋ยวมันจะเป็นรอยนะ” “ถ้าติดนี่ต้องเสียเงินไหมครับ” “อ๊าวววว !!! เสียสิคะ… ชักหงุดหงิดละ ถ้าติดตอนนี้พิเศษจะลดให้จาก 150 เป็น 100 แล้วถ้ากระจกเป็นรอยจะไม่รับประกันนะคะ ขีดสีแดงในหัวพุ่งปรี๊ด ข้อตกลงของการรับประกันนี่คือสติ๊กเกอร์ไม่เป็นรอยไม่ฉีกขาดไม่ใช่หรอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกระจก โชคดีไปที่ตอนนั้นมีลูกค้ามา เขาก็เลยตัดบทไปคุยกับลูกค้าแทน เราก็เลยปล่อย ๆ ไปเพราะรู้ดีพนักงานคนนี้อ่อนหัด ไม่อยากเสียเวลาเลยขอแค่เทสต์ว่าเครื่องยังใช้ได้อยู่ ยังเปิดได้ฟังได้ เรียบร้อยก็เลยถอยออกมา แหมมันช่างสมคำร่ำลือจริง ๆ การซื้อของในพันธุ์ทิพย์ตอนซื้อเจอพนักงานขายดีก็ดีไป แต่พอตอนเอามาเคลมเงี้ยเจอพนักงานใหม่ไม่ถูกใจหงุดหงิดในอารมณ์ แต่ช่างเถอะ รีบกลับห้องไปทำธุระสำหรับวันพรุ่งนี้ต่อดีกว่า

 

วันที่ 15 ธันวาคม 2550

            วันนี้หยิบเอาเสื้อตัวโปรดเมื่อ 4 ปีที่แล้วมาใส่เพื่อไปถ่ายรูปสมัครงานในห้างบิ๊ก C นิสัยเดิม ๆ คือเดินสำรวจก่อน ก็ปรากฏว่ามีอยู่ 2 ร้านคือชั้น 1 กับชั้น 4 เราเลือกชั้น 4 พอไปถึง เขาให้นั่งรอเพราะมีลูกค้าก่อนอยู่ 2 คน นั่งรออยู่ได้ประมาณ 30 นาที เขาก็เรียกเราไปถ่ายรูป พอเห็นตัวเองในจอ แปลกใจ ทำไมเราหล่อหว่า เปรียบเทียบกับพนักงานถ่ายรูป เฮ้ย !! นี่เราหล่อจริง ๆ หรือนี่ พอถ่ายออกมา หล่อมากครับท่าน ก็เลยเอามาเปรียบเทียบกับรูปเก่า ๆ ที่ได้ถ่ายไว้ รู้แจ้งเห็นจริงว่าทรงแสกกลางเดิม ๆ มันทำให้เราดูเดิม ๆ แต่ทรงที่หวีมาตรง ๆ ข้างหน้า มันช่วยเพิ่มบุคลิกให้เราดูดีขึ้น ก็รีบรุดหน้าไปยังจุดเป้าหมาย (สถานที่สมัครงานย่านสุขุมวิท) อย่างมั่นใจ พอไปถึงก็ถาม ๆ สมัครงานตรงไหนหรอครับ พอเข้าไปในนั้นบรรยากาศอึมครึมมาก เพราะคนแรกที่เห็นเลยก็คือคนที่นั่งอยู่ข้างหลังสุด จ้องมองผ่านแว่นสายตามาที่เราอย่างไม่ละสายตา การแต่งตัว บุคลิก การพูดจา บ่งบอกว่านั่นล่ะ คงเป็นเจ้าของร้านอาหารสุดแสนโออ่าแห่งนี้ ยังไม่ทันได้เริ่มงานก็โดนขู่ซะละ มาทำงานให้ ชม.ละ 35 บาท 1 เดือนให้หยุดได้ 2 วัน ถ้าหยุดเกินหักเหลือ ชม.ละ 30 บาท รายละเอียดเพิ่มเติมเดี๋ยวให้เขามานั่งคุยเอาแล้วก็ให้พนักงานพาเราไปอีกห้องหนึ่งเพื่อเดินไปกรอกเอกสาร ตอนนั่งกรอกอยู่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่นี่เพราะพนักงานเสิร์ฟ คนครัว ทั้งชายและหญิง ต่างเข้ามาทักทายเราอย่างเป็นกันเอง ก็รู้สึกดีนะกับคนเหล่านี้ พอกรอกเสร็จก็ไปยื่นให้เขา ก็เหมือนเดิม ผู้หญิงมาดคุณนายคนนั้นยังจ้องเขม็งมาที่เราอย่างไม่ละสายตา จนกระทั่งเราเดินออกจากห้อง โดยไม่พูดอะไรเลย

            พอขากลับกะแวะไปเดินเล่นทองหล่อซะหน่อย สถานที่แห่งนี้ บางคนว่ามันเป็นสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ ตอนแรกคิดว่าสนุก ที่ไหนได้ มันน่าเบื่อมาก ๆ เลย ย่านนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่มีแต่สถานที่ที่ดูดเงิน พยายามจะมองหาของกินถูก ๆ ก็ไม่มี มีแต่คนแต่งตัวดี ๆ ขับรถ หรูหรา แถมบีบแตรไล่เราตอนเดินบนฟุตบาทซะอีก ย่านนี้มันช่างอ้างว้างวังเวงเหลือเกิน คงจะไม่มาเดินแบบนี้ที่นี่อีกเป็นครั้งที่ 2 แล้วล่ะ เดินจากปากซอยทองหล่อ (ที่จริงมันน่าจะเรียกถนนทองหล่อนะ) ไปจนถึงถนนเพชรบุรีเพื่อกลับห้อง นี่เราเดินมากี่โลแล้วเนี่ย

            พอถึงห้องวันนี้เครียดสุด ๆ เครียดมาก วิธีระบายออกเดิม ๆ คือไปนั่งดูหนัง เห็นว่ามีหนังเรื่องหนึ่ง เขาว่าสนุก เริ่มฉายรอบ 3 ทุ่ม แต่พอดูแล้วมันก็งั้น ๆ ดูแล้วไม่ได้อะไรนอกจากว่ามนุษย์เราไม่สามารถอยู่คนเดียวได้จริง ๆ นี่เป็นข้อคิดที่ได้ คนเรามีแรงบันดาลใจหลาย ๆ มันก่อเกิดมาจากคนข้าง ๆ เรา แต่ถ้าเราไม่มีคนข้าง ๆ เราก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพื่ออะไร แล้วยังไง แต่ ณ ปัจจุบันนี้มนุษย์เราเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ สักวันหนึ่งก็คงจะเป็นแบบหนังเรื่องนั้นนั่นแหละ พวกเราจะกลับไปจุดเริ่มต้นนับ 1 ใหม่อีกครั้ง อาจจะเหลือรอด หรือสูญพันธุ์ มันเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

วันที่ 16 ธันวาคม 2550

            วันนี้เป็นวันพักผ่อนแสนสบายวันหนึ่ง นึกอะไรไม่ออก ก็เลยคิดถึงเกมส์ออนไลน์เพราะไม่ได้เล่นนานแล้ว เกมส์นี้ชื่อ ECO พอเข้าไป ก็ได้เห็นอะไรเดิม ๆ ที่เหมือนเดิมเหมือนชนิดที่แยกไม่ออกระหว่าง ECO กับ Ragnarok มันทำให้นึกถึงอดีตที่แสนน่าอาย เกมส์ออนไลน์ที่ทำร้ายเรา ทั้งเวลา การดำเนินชีวิต อย่างไม่น่าเชื่อ…ก่อนที่จะได้รู้จักเกมส์ออนไลน์นี้ เราเข้าใจว่า เกมส์ออนไลน์คือเกมส์ที่หลาย ๆ คนมาเล่น ต่างคนก็ต่างตัวละคร ไม่ซ้ำกัน ช่วยกันผ่านด่าน ผ่านอุปสรรค จนพบจุดหมาย จุดสิ้นสุด และฉากจบที่ประทับใจ แต่ในความเป็นจริงตอนนี้มันไม่ใช่ มันกลายเป็นการตลาดที่มุ่งผลประโยชน์ สร้างเงิน สร้างรายได้ให้กับบริษัทผู้ผลิตเกมส์มากกว่าจะพัฒนาหรือสร้างสรรค์จินตนาการให้เยาวชน เรารู้สึกภูมิใจและชื่นชมกับเกมส์เพลย์สเตชั่นที่ยังยืนหยัดและยึดมั่นในอุดมการณ์ของตน พอพูดถึงเกมส์ออนไลน์ดัง ๆ ในบ้านเรา ก็นึกไม่ออกว่า มีเกมส์ไหนที่มาจากประเทศญี่ปุ่น หรือมีคนญี่ปุ่นมานั่งเล่นเกมส์ออนไลน์ เปล่าเลย ของแบบนี้เขาไม่เล่นกันหรอก สมัยนี้เราเองก็ไม่เข้าใจ อิทธิพลของประเทศเกาหลีมันถาโถมเข้ามาในบ้านเรามากเหลือเกิน มากซะจนเราลืมสิ่งที่ดี ๆ สิ่งที่เราภูมิใจ หรือสิ่งที่เราจะตามหรือเป็นให้ได้แบบเขา นั่นคือประเทศญี่ปุ่น พวกเราลืมเขาไปแล้วหรือยังไง ความรักชาติของเขาที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษ หรือเห่อฝรั่งพูดญี่ปุ่นคำฝรั่งคำแบบไทย ไม่มี เราจะไม่เห็นภาษาอังกฤษโชว์ตามป้าย ตามร้านอาหาร หรือสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเมือง ต่างจังหวัด การจัดระเบียบสังคมเขาก็เยี่ยมน่ายกย่องอย่างถ้าใครเป็นคนที่เดินผ่านไปมาแล้วไม่มีเงินกลับบ้าน คน ๆ นั้นก็สามารถนอนที่ไหนหรือหน้าบ้านใครก็ได้ ไม่มีใครมาไล่หรือทำร้าย มีการจัดระเบียบสังคมคนชั้นล่างโดยการกางเต็นท์ให้นอนริมทาง ส่วนคนที่จูงหมา แมว ไปเดินเล่นตามที่สาธารณะ ทุกคนจะพกอุปกรณ์สำหรับเก็บกวาดอึของสัตว์เลี้ยง ส่วนประเทศเกาหลีเขาบอกว่าพวกนี้กินหมาเป็นอาหารหลักไม่ต่างจากเราคนไทยกินหมูเป็นอาหารหลัก แค่นี้ก็สยองแล้ว แล้วเราก็ยังเห็นภาพถ่ายของดาราสาวเกาหลีคนหนึ่งที่ฆ่าแมวได้อย่างโหดเหี้ยม แต่ในปัจจุบันนี้ ก็ยอมรับนะว่าหนังเกาหลี แสดงได้ดีมาก ทั้งการจัดฉาก การดำเนินเรื่อง ดนตรี นักแสดง ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลกับผู้หญิงมาก แล้วก็เกมส์ออนไลน์อันนี้ขอยกให้เป็นอิทธิพลของผู้ชายแล้วกัน เพราะเพลงที่อยู่ในเกมส์ออนไลน์นั้น เกาหลีล้วน ๆ แล้วยิ่งตอนนี้อาหารเกาหลีก็ผุดเอา ๆ ใน กทม. แต่เราไม่ได้บ้าเห่อไปกับเขาด้วยหรอก เรายังทานข้าวผัด ผัดไท แกงหน่อไม้ ข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว เหมือนเดิม … อือม์ ก็ชอบแบบนี้นี่นา

 

วันที่ 17 ธันวาคม 2550

            วันนี้ตอนบ่ายสอง อยู่ ๆ ก็มีสายเข้ามา ว่าให้ไปสัมภาษณ์งานที่อาคารสิริภิญโญ ชั้น 11 วันพรุ่งนี้ตอน 10 โมง ทันใดนั้นก็รู้สึกใจหายแว่บ นี่เราต้องจากที่นี่ไปแล้วหรอ เราทำงาน ณ ที่แห่งนี้มา 4 ปีแล้ว ถ้าจะไปแบบนี้มันเร็วไป ต้องไตร่ตรองให้ดี แต่ว่าพนักงานสาวที่โทรมานั้นมีคำพูดหนึ่งคือ ยังไงก็ลองมาดูก่อนนะคะ รู้สึกสนใจ และจูงใจให้เราต้องไปสัมภาษณ์อย่างมาก เธอเปิดและปิดการขายได้อย่างรวดเร็วตามสูตรเป๊ะ ตอนนั้นปากก็ครับ ๆ แต่ในใจบอกว่าต้องไปค้นข้อมูลของบริษัทนี้เพราะรู้สึกแปลกใจที่เขาใช้เบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อเข้ามาแทนที่จะใช้โทรศัพท์สำนักงาน … ปรากฏว่าบริษัทเขาทำเกี่ยวกับคอลเซ็นเตอร์หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ คือพนักงานตอบปัญหาทางโทรศัพท์ มันเป็นงานที่ต้องตอบปัญหา คอยแก้ปัญหาให้กับผู้โทรศัพท์เข้ามา แล้วเราจะต้องเชี่ยวชาญอย่างมากในเรื่องนั้น เคยได้ยินมาจากพี่ ๆ ว่าคอลเซ็นเตอร์ของ AIS เวลาใครจะเข้าห้องน้ำ จะต้องกดปุ่มไปทำธุระ นาฬิกาจะเริ่มจับเวลาและห้ามเกิน 5 นาที ถ้ามีคนมาพบก็ห้ามเกิน 15 นาที ถ้าทำผิดระเบียบ เกิน 3 ครั้ง จะถือว่ามีความผิด เป็นงานที่นอกจากจะเครียดกับลูกค้าที่โทรเข้ามาแล้วยังต้องเครียดกับตัวบริษัทเอง การนั่งทำงานคอยตอบปัญหานี่มันเหมือนอยู่ในคุก คือจะคุยกับใคร หรือจะเดินเล่นออกไปสูดอากาศข้างนอกสบาย ๆ ก็ทำไม่ได้ เราปฏิเสธการเป็นโปรแกรมเมอร์ที่จะต้องมานั่งจดจ่ออยู่หน้าคอมฯ ไร้อิสรภาพที่จะไปในมาไหน ไม่เห็นจะต้องคิดให้มากเลย … พรุ่งนี้ไปทำงานดีกว่า

 

วันที่ 18 ธันวาคม 2550

            วันนี้เป็นวันที่แปลกมากเพราะสมุดจดงานไม่ได้โน้ตงานของวันนี้ไว้เลย แต่ไม่ใช่ไม่มีงานนะ วุ่นวายอยู่เหมือนเดิม และวันนี้ก็เป็นวันที่เลิกงานเร็วมากในรอบ 3 เดือน คือกลับก่อน 5 โมง (ทุกทีกลับ 6 โมงเย็น (งานเลิก 4 โมงครึ่ง))

            พอดีว่าเห็นไฟล์ ๆ หนึ่งในแท่งเก็บข้อมูล (Flash Disk) เลยลองเปิดดูปรากฏว่าเป็นสูตรคำนวณในอิกเซล (Excel) เกี่ยวกับเงินออม ก็เลยมีความคิดว่าเราควรจะพัฒนาสูตรนี้ไปใช้แจกจ่ายให้กับคนอื่น ๆ ได้ออมเงินบ้าง เนื่องจากเราก็เป็นคนหนึ่งที่ทำงานให้กับสถาบันการเงิน เรื่องเงินออมก็เป็นเป้าหมายสำคัญเช่นกัน วันนี้ก็เลยนอนดึกไปหน่อย เที่ยงคืนครึ่งแล้ว!!” (ยังไม่อาบน้ำรีดผ้า)

            และวันนี้เราก็มี สูตรคำนวณค่าใช้จ่ายเงินออม มาฝาก ถ้าเพื่อน ๆ สนใจอยากลองไปใช้เพื่อการออมเงิน สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่เลย www.

 

วันที่ 19 ธันวาคม 2550

            เอ๊ะเบอร์แปลก ๆ นี่ใครอีกล่ะ เมื่อรับจึงรู้ว่า บริษัทไทยประกันชีวิต ติดต่อเข้ามาให้ไปสัมภาษณ์งาน บอกว่าเป็นงานเกี่ยวกับฝึกอบรม เราตอบตกลงจะไปสัมภาษณ์ในวันเสาร์นี้ และก็อีกแล้วพนักงานคนนี้ใช้เบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ติดต่อเข้ามาแทนที่จะใช้โทรศัพท์สำนักงาน และกำชับอีกว่า ถ้ามีคนของบริษัทฯ โทรมาอีกกรุณาบอกด้วยนะคะว่า ต้อง ติดต่อมาแล้ว แล้วก็ไปหาผู้จัดการชื่อ…ด้วยนะคะ แล้วถ้าจะไม่มาหรือติดธุระ กรุณาแจ้งดิฉันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ (เป็นชุด) แต่ช่างเถอะ ไปก็ไป แต่ขอไปค้นข้อมูลของบริษัทก่อนนะ แล้วจะดูว่าไปดีหรือไม่

 

วันที่ 20 ธันวาคม 2550

            วันนี้มีข่าวร้ายเกิดขึ้นกับพนักงาน ธ.ก.ส.สาขารือเสาะ คือเมื่อวานนี้เวลาประมาณ 5 โมงเย็น กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบภาคใต้ได้ใช้อาวุธปืนถล่มรถ ธ.ก.ส. มีคนเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บ 1 คน ซึ่ง 2 คนที่เสียชีวิตเป็นเพนักงาน ธ.ก.ส. (ผู้ช่วยผู้จัดการสาขากับพนักงานการเงิน 7) ผู้เสียชีวิตอีก 1 เป็นชาวบ้าน ส่วน 1 คนที่บาดเจ็บสาหัสเป็นพนักงาน (พ้นขีดอันตราย) ขณะนี้รอเลือดบริจาคกรุ๊ป AB จากพี่ ๆ พนักงานอยู่ ชาว ธ.ก.ส.กว่า 1 หมื่นชีวิตทั่วประเทศ ต่างไว้อาลัยกับการจากไป ของพนักงานทั้ง 2 เราเองก็เศร้าใจไปด้วยเพราะพี่นิตย์ (ผู้บริหารทีม 10) ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับพนักงานที่เสียชีวิตเนื่องจากพี่เขาเคยเป็นหัวหน้าที่สาขาภาคใต้มาก่อน เหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พนักงานของธนาคารต้องสังเวยชีวิตให้กับกลุ่มโจรเหล่านี้ หวังว่า…เหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งพนักงาน และประชาชนทั่วไป

            เวลาประมาณ 11 โมง ช่างคอมฯ ก็ได้ยกเคสคอมฯ มาคืนหลังจากฟอร์แมตเสร็จ พวกเขาก็จัดแจงต่อสายให้เสร็จสรรพพร้อมกับยื่นแบบประเมินมาให้เราประเมินการทำงานของเขา คราวนี้เราจะประเมินจริง ๆ ไม่เหมือนหลาย ๆ คราวที่แล้วคือให้เต็มทุกหัวข้อ ทันใดนั้น…เราถูกช่างคอมฯ ตะคอกถามด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า ปานกลางเลยหรอ ก็เลยให้เหตุผลไปว่า โทรแจ้งไปตั้ง 1 อาทิตย์ พึ่งมาทำให้ เขาก็เลยย้อนถามว่า แล้วผมอยู่หน้าฟรอนท์นี่ใช้เวลาเท่าไหร่ เราก็นั่งงงเหมือนกันว่า โอเค เขาใช้เวลา 1 วันในการฟอร์แมตคอมฯ 2 เครื่อง บวกกับใช้เวลา 1 อาทิตย์กว่าจะมาดำเนินการให้ ก็ไม่น่าแปลกที่จะให้คะแนนความรวดเร็ว ปานกลาง สิ่งนี้มันทำให้เราไม่กล้าประเมินเขาแบบนี้อีกแล้ว คราวหลังเวลาประเมินต้องให้ดีมากทุกหัวข้อแบบนั้นหรอ ถ้างั้นจะมีการประเมินมาทำไมนะ นี่ถ้าเป็นไปได้ เราจะประเมินให้ช่างคอมฯ คนนี้โดนไล่ออก นิสัยแย่มาก คุยกะใครก็ไม่เป็น เรื่องมนุษยสัมพันธ์นี่ก็แย่มาก ครั้งหนึ่งเคยโทรแจ้งให้เขามาดูอาการของเครื่อง เพราะมีเด็กฝึกงานลงโปรแกรมแอนตี้ไวรัส 2 ตัวไว้ในเครื่องเดียว ซึ่งเป็นกฎที่คอมพิวเตอร์ทุกคนรู้ดีว่ามันจะขัดจังหวะกันเองแล้วทำให้เครื่องช้าสุด ๆ เขาก็ย้อนถามมาว่า ใคร ชื่ออะไร โรงเรียนอะไร เราก็ไม่ตอบ บอกแต่ว่าให้เขาขึ้นมาดูไว ๆ ตอนนี้มีปัญหาต้องรีบแก้ไม่ใช่หาคนทำผิด ซึ่งเราเองก็ได้บอกน้องเขาไปว่ามันเป็นอย่างนี้ ๆ นะ น้องเขาก็รับทราบและขอโทษในซึ่งที่ทำไป แต่คนที่สั่งให้น้องเขาทำคือพนักงานเนี่ยล่ะ แต่ช่างคอมฯ ก็ไม่ยอม ขึ้นเสียงกับเราถามว่า ผมถามว่าโรงเรียนอะไร” “ผมไม่รู้ว่าเขาโรงเรียนอะไร แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่ได้จบคอมฯ เขาไม่รู้ และคนที่สั่งให้เขาทำเป็นพนักงาน ถ้าไม่มีงานคั่งค้างช่วยมาดูให้หน่อย ผมพยามแก้แล้ว แต่ไม่ได้ เลยต้องโทรมา นะครับ แค่นี้แหละก็วางสายไป หลังจากนั้นเราก็ลองใหม่ ไปแก้ปัญหาให้เขา แล้วเราก็สามารถถอดเอาโปรแกรมแอนตี้ไวรัสออกได้สำเร็จ แล้วแจ้งไปทางช่างคอมฯ ว่าขอยกเลิกรายการนี้ … เนี่ยแหละนะ สุดท้ายคนที่จะคอยแก้ปัญหาไม่พ้นเราจนได้ … ผมไม่ใช่ช่างคอมนะพี่ ผมแค่มั่วเอา แล้วปรากฏว่ามันใช้ได้ ก็เท่านั้นเอง

            พอช่วงบ่ายหัวหน้าให้เราช่วยติดสายรุ้งเพื่อจัดงานปีใหม่ในที่ทำงาน พร้อมกับบอกอีกว่า ติด ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็มีคนช่วยเอง ปรากฏว่าเราต้องมายืนติดคนเดียว กว้างก็กว้างนะที่ทำงานเนี่ย สุดท้าย…ไม่เห็นมีคนช่วยเลย พี่ครับ ถ้าผมปีนเก้าอี้แล้วหล่นทับ ขอโทษด้วยนะ

 

วันที่ 21 ธันวาคม 2550

            เช้านี้หัวหน้าให้ไปอบรมเรื่องการซ้อมหนีไฟ ก็เลยต้องทบทวนความจำเนื่องจากเคยอบรมมาแล้วเมื่อปีก่อน พอเข้าไปถึงสักพัก ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารก็ได้มานั่งเป็นประธานเปิดการอบรม อยู่มาตั้งนาน พึ่งรู้ว่าท่านนี้เป็นถึง ผช.ผจก. จากนั้นวิทยากร (เจ้าหน้าที่ดับเพลิง) ได้มาบรรยายอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับอันตรายของไฟซึ่งการเกิดของไฟคือทำให้วัตถุคายก๊าสออกมา การที่เราจุดไฟแช็คจ่อกระดาษเพียงผ่าน ๆ ไม่ทำให้เกิดไฟก็เพราะสาเหตุนี้ การคายก๊าซของวัตถุและเราเองก็พึ่งจะรู้เหมือนกันว่าชนิดของวัตถุที่ทำให้เกิดไฟมีด้วยกัน 5 ชนิด นั่นก็คือ 1) A ของแข็งติดไฟ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ ไม้ พลาสติก สิ่งเหล่านี้ดับได้ด้วยน้ำ  2) B ของเหลวติดไฟ และแก๊ส เช่น น้ำมันปิโตรเลียม ไฟจากแก๊ส พวกนี้ห้ามดับด้วยน้ำ เพราะถ้าใช้น้ำฉีดมันจะระเบิด ไฟจะลุกติดพรึบ! เหมือนระเบิด โดยจะต้องดับด้วยถังดับเพลิงที่มีฉลาก B กำกับ โดยถังดับเพลิงนั้นจะเรียกว่า ผงเคมีแห้ง หรือ ฮาร์ลอน 3) C อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ปลั๊กไฟ พัดลม เหล่านี้ต้องใช้ ฮาร์ลอน ดับไฟเพื่อป้องกันสื่อไฟฟ้า ผงเคมีแห้งก็ใช้ได้ แต่จะทำให้อุปกรณ์ข้าง ๆ ที่ไม่ติดไฟพังไปด้วย  4) D เหล็กติดไฟ อันนี้ต้องใช้ถังที่ชื่อว่า ซีโอทู ดับ หรือทรายแห้งก็ดับได้  5) E เป็นไฟที่เกิดจากการทำอาหารประเภทน้ำมัน การจะไฟชนิดนี้ต้องใช้สารโพแทสเซียมอะชิเตทผสมน้ำ หรือบางครั้งสามารถนำผ้าชุบน้ำบิดให้แห้งคลุมดับไฟได้ … เรียบร้อยวิทยกรก็พาพวกเราขึ้นไปทดสอบกับอุปกรณ์จริงบนดาดฟ้า และอธิบายเกี่ยวกับการทำงานของแก๊ส (ปตท.) ว่าแก๊สจะมีตัวเซฟตี้ ใช้ได้ ปลอดภัยไม่ระเบิดแน่นอน เว้นแต่ถ้าเราวางถังแก๊สแนวนอน โอกาสที่แก๊สจะไปอุดตันตัวเซฟตี้ก็มีซึ่งอาจทำให้ระเบิด และยังมีการเซฟตี้เกี่ยวกับความร้อนรอบถังแก๊ส ว่าหากมีอุณหภูมิเกิน 300 องศา ตัวเซฟตี้นี้ก็จะทำการคายก๊าซออกมาอัตโนมัติเพื่อป้องกันการระเบิด จากนั้น วิทยากรได้เปิดแก๊สให้พ่นออกมา แล้วจุดไฟ ไฟลุกพุ่งเป็นทางยาวตามแนวฉีดของแก๊สกว่า 5 เมตร แล้วให้พวกเราไปปิดวาล์วแก๊ส ว่าสามารถทำได้ ไม่อันตราย เพราะมีระบบเซฟตี้อยู่ (ต้องสังเกตด้วยว่าถังแก๊สอยู่ในสภาพดี ไม่บวมหรือบุ๋ม)  จากนั้นก็จุดไฟเผาน้ำมัน แล้วใช้ถังดับเพลิงพ่นดับไฟ โดยให้พวกเราปฏิบัติตามสมัครใจ และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ … ปิดการอบรม

            …อบรมมาเป็นไงบ้าง หัวหน้าถาม ปีนี้ก็เหมือนเดิมคือให้ธงส้มตาม ธงเขียวนำ แล้วเราต้องลงไปทางบันไดหนีไฟด้านหน้าเท่านั้น เพราะที่นั่นมีระบบอัดอากาศช่วยหายใจ ส่วนจุดรวมพลก็เหมือนเดิมคือทุกชั้นจะต้องไปรวมกันที่หน้าคลอง แล้วเราก็สำรวจว่าคนของเราครบไหม คือถ้าไม่ครบจะต้องแจ้งไปทางหน่วยกู้ชีวิตให้เขาตามหา แต่สิ่งที่เพิ่มมาในครั้งนี้คือจะมีการซักซ้อมการกู้ข้อมูล ว่าถ้าหากไฟไหม้จริง ๆ เรายังสามารถดำเนินธุรกิจไปได้อย่างไม่เสียหาย เรียบร้อยก็ดูลิสต์งานว่าวันนี้ต้องทำอะไร ก็เหลืองานเดียวคือทดสอบเครื่องพรินเตอร์เลเซอร์ราคากว่าแสนบาท นี่พรินเตอร์หรอ ผมนึกว่าตู้เย็นซะอีก

 

วันที่ 23 ธันวาคม 2550

            เนื่องจากเมื่อวานใช้เงินไปมาก ทำให้วันนี้ต้องกินมาม่าแทนข้าวเป็นข้าวเช้า กลางวันกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง พอตกเย็นก็กินข้าวไข่เจียว…ชีวิตหนอชีวิต ไม่พ้นมาม่ากะเมนูไข่อีกตามเคย

 

วันที่ 26 ธันวาคม 2550

            ขณะนี้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ห้องสมุด ทุกคนรู้ดีว่าวันนี้เป็นวันซ้อมดับเพลิงประจำปี แต่ก็มีหลายคนที่ไม่รู้ว่าตนจะต้องทำอะไร สักพักเสียงออดก็ดังขึ้น ทุกคนที่ไปอบรมต่างทำหน้าที่ของตนในการอพยพหนีไฟ โดยมีเราเป็นคนถือธงส้มวิ่งนำหน้า ซึ่งก็ตลกดีน่ะนะเพราะถ้าไฟไหม้จริง ๆ เราเนี่ยแหละ เผ่นคนแรก

 

 

 

วันที่ 27 ธันวาคม 2550

            เช้านี้ที่ทำงานนิมนต์พระสงฆ์มาเพื่อทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เรียกว่าเป็นประเพณีเลยก็ว่าได้เพราะเขานิมนต์มาทุกปี ส่วนตัวเราก็รีบมาแต่เช้าเพราะกลัวจะไม่ทันตักบาตร เรียบร้อยพอเดินออกมาก็มีซุ้มธูป กุหลาบ เพื่อนำไปสักการะเสด็จเตี่ย (กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์)

            ช่วงเลิกงานทุกคนเตรียมตัวเพื่องานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า มีเวทีร้องเพลง สอยดาว จับฉลากรางวัล เราได้ข้าวสารเป็นข้าวหอมมะลิถุงหนึ่ง (แต่พอเลิกงานหายไปไหนก็ไม่รู้) ทุกคนสนุกสนานเฮฮามาก และพวกเราก็สนุกกันมากสนุกซะจนออกไปเต้นหน้าเวที (กะพวกขี้เมา) โดยมียิ้มเป็นนักร้องร้องเพลง โนราห์โนบาร์ บนเวที !!  ปิดงานโดย สสบ. … และแน่นอน มีรูปบรรยากาศในงานมาอัพเดทลงสเปซด้วย

 

วันที่ 28 ธันวาคม 2550

            วันนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเรื่องหนึ่ง คือพี่ ๆ ที่ทำงานเขาบอกว่าการจับฉลากแลกของแบบปีที่ผ่าน ๆ มา มันน่าเบื่อ ปีนี้เลยต้องมีเปลี่ยนแปลงกันบ้าง พี่เขาก็เลยให้พวกเราจับฉลากว่าได้ชื่อใคร แล้วให้ไปหาของขวัญปีใหม่ให้คน ๆ นั้น เราจับได้พี่โด่ง ที่รู้ ๆ คือพี่เขาเป็นอิสลาม มีมอไซค์ ตัวใหญ่ ผิวดำ หน้าคม ผมทรงลานบิน ก็นึก ๆ อยู่ว่าจะให้อะไรพี่เขาดี เพราะจำได้ว่าครั้งหนึ่งพี่เขาเคยเรียกเราซ้อนมอไซค์ไปส่งที่ที่ทำงาน สมัยพี่เขาย้ายเข้ามาใน สนญ. ครั้งแรกมีสายโทรเข้ามาบอกว่าขอคุยกับชาวปากีสถาน เราก็ดันโอนให้พี่เขารับซะนี่

 

วันที่ 30 ธันวาคม 2550

            วันนี้น้องที่ทำงานนัดให้พาไปซื้อคอมฯ ก็นัดเจอกันตอน 10 โมงหน้าพันธุ์ทิพย์ ตอนแรกนะ โทรมาจัง กลัวว่าเราจะลืม กลัวว่าจะไม่ไป เราก็ไปถึงจุดนัดพบก่อนเวลา 5 นาที ก็ปรากฏว่าน้องเขายังไม่ออกมาเลย ก็เลยบอกไปว่า 11 โมงค่อยมาก็ได้เพราะร้านในห้างยังเปิดไม่หมด ระหว่างนั้นก็ไปเดิน ๆ ดูในห้าง เห็นหลายร้านหยุดปีใหม่กันเพียบ เดินไปเดินมาแป๊ปเดียว 11 โมง น้องเขาเข้ามาพอดี เลยพาเช็คสเปคคอมฯ ทั้งห้างพันธุ์ทิพย์ไล่ตั้งแต่ชั้น 1 6 แล้วก็ชั้น 6 ลง 1 อยู่แบบนี้ จนถึง 6 โมงเย็น ก็เริ่มไล่ซื้ออุปกรณ์ที่เล็งไว้

            1) CPU Pentium 4  631E  3.0 GHz  FSB 800  ราคา 2,250 บาท

            2) Mainboard ASUS  รุ่น P5KC  Socket LGA775 ใช้ชิบเซ็ต 965 ของ Intel มีแลนออนบอร์ด เสียงออนบอร์ด พอร์ตคียบอร์ดแบบ PS/2 พอร์ตเมาส์ USB  พอร์ตฮาร์ดดิสก์แบบ SATA2  ช่องเสียบแรมแบบ DDR2 4 ช่อง DDR3 2 ช่อง สนับสนุนโหมด Multifunction  ช่องเสียบ VGA แบบ PCI Express 16x  2 ตัว  ราคา 5,150 บาท

            3) RAM DDR2  FSB667  1 GB  ราคา 880 บาท

            4) Hardisk  Seagate 160 GB 7200 RPM  SATA2  ราคา 2,100 บาท

            5) VGA Gigabyte PCI Express 16x ใช้ GPU ของ nVIDIA รุ่น Geforce 7300GT เป็นระบบระบายความร้อนแบบฮีตซิงค์ขนาดใหญ่ ราคา 2,120 บาท

            6) Drive DVD ของ ASUS มีเทคโนโลยี Lightscript  ราคา 1,290 บาท

            7) Drive Floppy disk ของ Sony ราคา 230 บาท

            8) Keyboard & Mouse ของ Microsoft  ราคา 600 บาท

            9) ลำโพง (ลืมยี่ห้อไปแล้ว เพราะเทสต์หลายตัวมาก) มีซัฟวูฟเฟอร์ ราคา 1,200 บาท

            10) CASE ของ Gview เป็นแบบ Mini Tower ราคา 1,350 บาท

            11) จอ LCD ของ ACER รุ่น 293W เป็นจอแบบกระจกขนาด 19 นิ้ว ไวด์สกรีน ราคา 6,290 บาท

            รวมราคา 23,460 บาท ร้านที่ซื้อมากที่สุดเลขที่ 302 (สังเกตที่มุมขวาบนของร้านจะมีเลขกำกับ) ร้านนี้เจ้าของเป็นสามีภรรยาชาวจีน ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอุปกรณ์สักเท่าไหร่ เพราะเราลองใจให้เขาเลือกแรมให้เรา เขาก็เลือก 667 แทนที่จะเป็น 800 แต่ลูกน้องเขาทุกคน (เป็นช่าง) มีความรู้ดีมาก อุปกรณ์หลายอย่างจะแพงกว่าร้านอื่นประมาณ 10 – 150 บาท แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับประกันหลังการขายอันนี้ มั่นใจ และแน่นอนว่าได้ซื้อเคสจากร้านนี้ด้วย เขาก็เลยอาสาประกอบเครื่อง ลงวินโดว์และโปรแกรมทั้งหลาย จนสมบูรณ์ตามที่เราต้องการภายใน 1 ชั่วโมง พอดีว่าตอนนั้น 2 ทุ่ม ร้านปิดพอดี เราทำเวลากันอย่างมาก เพื่อที่จะให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนร้านปิด และเราก็ทำได้

            หลังจากนั้นเราก็หอบหิ้วอุปกรณ์ทั้งหลายไปส่ง แล้วกลับบ้าน วันนี้มันช่างเหนื่อยจริง ๆ เดินตั้งแต่ห้างยังไม่เปิด จนห้างปิด…พอถึงห้องก็สลบเช่นเคย

 

วันที่ 31 ธันวาคม 2550            วันนี้ เมา ไม่เขียนไม่จด นอนละ (ไว้สร่างเมื่อไหร่ค่อยมารื้อฟื้นเขียน แต่วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งทีเดียว)

Posted in Uncategorized | Leave a comment

My Diary

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550

            จะทำยังไงกะฮาร์ดดิสก์ตัวนี้ดีนะเรา งานยากสำหรับเราเลยนะเนี่ย ก็งานแรกนี่ ซ่อมคอมชาวบ้านนี่

ลำบากใจจริง ๆ ตัดสินใจยาก เจ้าของเองเขาก็ไม่ค่อยจะรู้ระบบ กลัวก็กลัว เขาจะว่าเอา ว่าขี้โม้ ไม่เห็นได้เรื่อง

แต่ถ้ามันไม่ได้จริงเราก็ต้องยอมรับแล้วล่ะว่า ทำได้แค่นี้ … ตอนแรกก็ง่วน ๆ อยู่เหมือนกันว่าทำไงก็ไม่ได้ วิธีที่เรา

มีในตอนนี้มันใช้ไม่ได้ผลซักอย่างเดียว จนกระทั่งใกล้เข้านอน เกิดความคิดให้ตัดสินใจ และเป็นสิ่งที่เราไม่เคย

ทำจริง ๆ โจทย์คือ ต่อฮาร์ดดิสก์ 2 ตัวในเครื่องเดียวกัน โดยใช้ฮาร์ดดิสก์หลักของเรา แก้ปัญหาฮาร์ดดิสก์ของลูกค้า

ว้าวเพอเฟค เดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปซื้อ ระบบปฏิบัติการ Window มาใหม่ แล้วมาเริ่มงานต่อ แต่ตอนนี้ นอนก่อนนะเพื่อน

 

วันที่ 2 3 พฤศจิกายน 2550

            และเราก็ลงมือทำสิ่งที่ได้ตั้งใจ ได้ด้วย เราอุทานเบา ๆ กับตัวเอง ว่าการต่อสายแพของฮาร์ดดิสก์ 2 ลูก

ใช้สายแพแค่เส้นเดียว วิธีที่เราทำก็คือ ลงระบบปฏิบัติการในฮาร์ดดิสก์ลูกค้า โดยรันระบบปฏิบัติการของฮาร์ดดิสก์

ตัวเอง และแล้วก็สำเร็จ ผ่าน (ตอนนี้ 6 โมงเช้า … ทำทั้งคืน เนื่องจากเสียเวลาไปกับการห่วงว่าฮาร์ดดิสก์ตัวเองจะ

ถูก ฟอร์แมตไปด้วยหรือเปล่า และทำให้เรารู้ว่าฮาร์ดดิสก์ 40 GB ที่เราว่าพัง มันยังใช้งานได้ !!) แต่ทำไปทำมา ไม่รู้ว่า

ระบบปฏิบัติการเข้าไปอยู่ไดร์ฟ D ของลูกค้าได้ยังไง ก็คิดว่าน่าจะผ่าน ไม่มีปัญหาอะไร เลยลงโปรแกรมอะไร

ต่อมิอะไรให้เต็มเลย เสร็จตอน 11 โมง ก็ไปถึงร้านลูกค้าตอนเที่ยงเป๊ะ และลองเสียบดู เฮ้ย ! เป็นอะไรอีกเนี่ย

ก็ง่วน ๆ งง ๆ ไม่รู้ว่าเราต่อสายแพถูกไหม เพราะเราเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพอร์ตของสายแพ (ดันไม่ทำการบ้าน

มาซะนี่) เลยโทรหาธงตอนบ่ายโมง

            นายลงวินโดว์ยังไง

            เราก็เปิดเครื่องเราแล้วลงวินโดว์ใส่ในอีกฮาร์ดดิสก์ไง

            ฟอร์แมต แล้วลงวินโดว์ใหม่เลย มีเดียมันไม่เข้ากัน

            เฮ้ย รู้ได้ไงว่า เห็นมันฟ้องมีเดีย ๆ ไรนี่ด้วยอ่ะ

            เออ ฟอร์แมตแล้วลงใหม่ ใช้ฮาร์ดดิสก์ตัวเดียวนะ เดี๋ยวมันจะมีปัญหา แล้วก็ให้ลงที่ไดร์ฟ C นะ

ไม่งั้นมันจะมีปัญหาในตอนหลัง ๆ

            เราก็ ช่าง … (ไม่รู้จะบ่นตัวเองไปเพื่ออะไรละ ว่าทำไมไม่โทรถามก่อน) ก็ไม่รู้ว่าจะมุดหน้าไปไว้ไหน

ตอนซื้อแรมก็ผิด ดันบอกเขาว่าเมนบอร์ดนี้สนับสนุนโหมดมัลติฟังก์ชัน ที่ไหนได้ 2 พอร์ตนั่นเป็น SD Ram

อีก 2 พอร์ตนั่นน่ะมัน DDR RAM ทำให้ชวนให้นึกถึงตอนที่ลงไดร์ฟเวอร์การ์ดจอสปาร์คให้เขาตอนนั้น

ทั้ง ๆ ที่ระบบฟ้องว่าจะมีปัญหาแท้ ๆ ก็ยังอยากจะลง เป็นไงล่ะ เกิดปัญหาจนได้ จนกระทั่ง 4 โมงเย็น

ลูกค้าเลยทนเราไม่ไหว (หน้าดุ เสียงดัง ตาแดง) เรารับรู้ได้ถึงความกดดันมหาศาลที่มีในตอนนั้น เขาบอกว่า

เขาจะไปจ้างช่างคอมมาซ่อมให้มันใช้ได้ และเขาก็บอกเราว่าเราน่ะทำไม่ได้หรอก ประสบการณ์ยังน้อย

แล้วเขาก็ควักเงินให้ 500 บาท แน่นอนว่าปฏิเสธ บอยอย่า เขาคว้ามือผมมาแล้วใส่เงินเข้าไป ขอบใจนะ

ที่เป็นธุระให้ คำ ๆ นี้มันทำให้ผมรู้สึกว่า เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

            หลังจากนั้น ก็เดินระหกระเหินโซเซไปกับความผิดพลาดที่เจ็บปวด ไม่ประสบความสำเร็จ

ประสบการณ์ครั้งนี้ เราได้ความรู้ ความกระตือรือร้น แต่เราก็เสียความไว้ใจของคน ๆ นี้ ไปอย่างไม่มีวัน

กลับมา สิ่งแรกที่เราทำหลังจากกลับบ้านก็คือ ศึกษาวิธีการเชื่อมต่อของพอร์ตต่าง ๆ บนเมนบอร์ด

และได้ทดลองกับคอมพิวเตอร์ของเรา เฮ้ย มันใช้งานได้แล้ว ส่วนนี้คือพอร์ต USB หน้าเคส ซึ่งมัน

เสียบแล้วไม่เคยติด แต่ในวันนี้ … มันติด ไฟขึ้น !!

           

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2550

            วันนี้ไปงาน IT Commart  ได้เห็นได้เจออะไรเยอะแยะชวนให้คิดว่า ถ้าวันนี้ ไม่มีคอมพิวเตอร์

เราจะทำอะไร … ก็น่าคิดนะสำหรับคน IT อย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ที่จะต้องมาเป็นเหมือนทาสเทคโนโลยีเหล่านี้

คนสมัยก่อนที่พอจะนึกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกและสร้างคอมพิวเตอร์ ก็มี สตีฟ จ็อบส์ กับ บิลเกตต์  หลังจากที่

ได้อ่านประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ ในนิตยสารคอมพิวเตอร์ของ COMPUTER.TODAY ที่ซื้อมาจากงานในราคา

20 บาท (ราคาปก 55 บาท) ซึ่งเขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เป็นเจ้านายที่เอาแต่ใจตัวเองสามารถ

พาลกับคนได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังอดชื่นชมไม่ได้กับความสามารถของเขา เชื่อไหมล่ะว่าถ้าไม่มีเขา วันนี้เราอาจ

ไม่ได้ใช้คีย์บอร์ดมานั่งพิมพ์ ๆ เช่นทุกวันนี้ก็ได้ ผลงานของเขาคือเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ล และบริษัท Pixar

ซึ่งมีชื่อเสียงกระฉ่อนในผลงานเรื่อง Toy Story  คิด ๆ ดูแล้วก็ตลกดีนะที่วันนี้เราใช้คอมพิวเตอร์แบบประกอบเอง

เป็นคอมฯ ที่หลาย ๆ บริษัทช่วยกันผลิต ต่างจากแอปเปิ้ลที่มีทุกอย่างครบเซทในเครื่องเดียว ครั้งหนึ่งเราได้

ลองใช้คอมพิวเตอร์เครื่องนี้ที่เรียกกันว่า Macintosh มันน่ารักมากเลย ครั้งแรกที่ได้สัมผัส เรารู้สึกได้เลยว่า

นี่มันคอมพิวเตอร์ของแท้ ๆ เลยนะเนี่ย โหสุดยอดเลย สมมุติว่าเราใส่ซีดีเข้าไปแล้วอยากเอามันออก เราก็ต้อง

ไปคลิกที่ไดร์ฟซีดี แล้วโยนมันลงถังขยะ!!! (คิดได้ไงเนี่ย) เป็นไงล่ะ แล้วในขณะทำงานก็จะมีตัวช่วยเราตลอด

ช่วยเราคิด ช่วยเราทำ แก้ปัญหาได้เลย มีเสียงพูดด้วยนะ แต่เป็นภาษาอังกฤษ เวลาเปิดปิดเครื่องก็ใช้ปุ่มบนคีย์บอร์ด

            หลังกลับจากงาน IT Commart ก็เกิดนึกขึ้นได้ว่า เรากำลังฝึกเป็นช่างคอมแต่ทำไมเครื่องคอมของตัวเองแท้ ๆ

กับไม่กล้าถอดประกอบ ส่วนตัวก็ยังกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะของมันแพง ซื้อมาไม่ได้ถูก ๆ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจ เอาล่ะ

เป็นไงเป็นกัน เพื่อน! โทษนะ ว่าแล้วก็ถอดเลย แงะ ๆ ๆ ๆ และก็ดูด้วยว่าส่วนนี้ถอดมายังไง ต้องใส่ยังไง และสุดท้าย

ก็มาลังเลตรงฮีตซิงค์ซีพียู มันแงะยาก ถึงยากสุด ๆ ก็เลยลองคิดวิธีที่จะถอดมันออกมาได้ง่าย ๆ และก็ง่ายจริง

เราแค่ถอดเมนบอร์ดออกมาแล้วก็ไขน็อตที่อยู่ด้านหลัง เท่านั้นเอง ฮีตซิงค์ซีพียูก็หลุดละ โธ่เราเอ๋ย 2 ครั้งก่อนแงะ

จนหักจนต้องไปหาซื้อใหม่หมดไป 400 กว่าบาท สายรัดสายแพนี้ เกะกะจัง ต้องแงะซะหน่อย ว่าแล้วก็งัด ๆ ๆ ๆ

ละก็งัด ทำไมมันยากอย่างนี้นะ ก็คิดอยู่ตอนนั้นว่าจะใช้อะไรตัดดี มีมีดคัดเตอร์ มีดแกะลาย กรรไกร ตอนนั้นตัดสินใจ

ใช้กรรไกรดีไหม ไม่เอาหรอก เดี๋ยวกรรไกรไม่คม ก็เลยใช้มีดคัดเตอร์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมันใหญ่ไป

ก็เลยเปลี่ยนเป็นมีดแกะลายที่คมสุด ๆ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่ง อ๊ากกกก โดนสายแพขาดเลย เอาล่ะ

เป็นไงล่ะ เสียบไม่ได้สิ เครื่องไม่เห็นฮาร์ดดิสก์ เลยเดินไปซื้อสายแพใหม่ เซ็งสุด ๆ คิดว่าจะไม่ต้องเสียตรังค์แล้วนะเนี่ย

50 บาทครับ เสียงคนขายย้ำ ในขณะที่เรากำลังคิดสำนึกผิดของตัวเองว่าใช้กรรไกรตัดซะก็หมดเรื่อง เอาล่ะได้มาละ

เย้ ๆ รอแปปนะเพื่อน แต่ก็ยังเจอปัญหา ทำไมมันหลวม ๆ นะ นั่นไง เป็นไงล่ะนาย สายมันไม่ได้มาตรฐาน

เสียตรังค์ 50 ไม่พอ นี่ต้องไปซื้อใหม่อีกร้านเลยนะเนี่ย (เศร้า) และแล้วเราก็ปล่อย ไม่ทำ พอ จบ ไม่เอาละ รู้ตัวอีกที

ตี 2 แล้ว !!”

 

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2550

            วันนี้พี่ที่ทำงานเขาเอา CD มาให้ไรท์ 3 แผ่น แต่แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ซะนี่

           

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2550

            เป็นเวลากว่า 3 วัน ที่เพื่อนเราเปิดไม่ได้ แต่ในที่สุดได้เจอกันอีกครั้ง แหม…รู้สึกเหมือนทะเลาะกับเพื่อน

แล้วต้องจากกันยังไงยังงั้น ขอโทษนะเจ้าคอมฯ ที่เราทำนิสัยไม่ดีกับนายหลาย ๆ ครั้ง เราใช้งานนาย ทดลองนาย

จนไม่ค่อยจะเป็นคอมฯ ซะละ รู้เปล่าตอนที่ไม่มีนายน่ะ เหมือนเราขาดอะไรไปอย่าง และก็หวังว่าสิ่งที่เราพิมพ์ ๆ มานี้

นายคงจะอ่านโค้ดออกแล้วเข้าใจ แล้วก็ไม่แฮงค์บ่อย ๆ อีกนะ

            แต่ที่นายเปิดได้น่ะ เพราะว่าเราโลภ (ฮะ ๆ) ก็พอดีพี่เอ้เขาโทรมาบอกว่ามีงานถอดเทป จะรับไหม เราก็บอกนะ

ว่าคอมมันงี่เง่าอยู่ตอนนี้ ขอลองเปลี่ยนสายแพก่อนถ้าใช้ได้ รับ ก็แหม ม้วนละ 300 บาท 5 ม้วนก็ 1,500 (ตาลุกวาว)

เลยรีบแจ้น … ไปซื้อที่พันธ์ทิพย์ ได้มาเป็นสายของ ASUS คนขายบอกว่า เนี่ยสายแพของอะซุซ ก็พึ่งรู้นะว่าเขาอ่าน

กันว่างี้ ไอ้เราก็ดันเรียก อะซัส ๆ ซะตั้งนาน (ระวังอ่านเป็น อ้ายสาด)

            ช่วงกำลังจะเดินออกจากพันธ์ทิพย์ เราเจอชายตาบอดคนหนึ่งอายุประมาณ 3-40 ที่ชั้น 2 เขากำลังจะเดินลง

บันไดเลื่อน และแล้วเขาก็ออกนอกเส้นทาง เราจึงย่ำ ๆ เท้าบอกว่าบันไดอยู่ตรงนี้ สักพักเขาก็เดินมาตามเสียงจริง ๆ 

เป็นชายสูงใหญ่ผิวขาวออกจีน ๆ ไม่ใส่แว่นตาทำให้เห็นตาสองข้างที่บอดสนิทของเขา หิ้วถุงพลาสติกเหมือนเพิ่งไปซื้อ

อุปกรณ์อะไรสักอย่างมา ด้วยตัวเอง !!  เขาทำได้ไงนี่ … สักพักเราจึงเดินตามเขา เห็นเขาเคาะ ๆ แล้วก็เดินผ่านช่องแคบ

ของร้านค้าอย่างน่าฉงน เขาทำได้ไงเนี่ย จึงเอ๊ะใจว่าครั้งหนึ่งเขาอาจมองเห็นแล้วมาเดินที่นี่บ่อย แต่มันก็ยากนะ

ขนาดเราไปเดินบ่อย ๆ ยังหลงทางเลย แล้วนี่ผ่านช่องแคบ ๆ นั้นไปได้ยังไงเนี่ย … สิ่งนี้มันทำให้เรานึกถึงชายอ้วน

อีกคนที่เจอในร้านข้าวแกงหน้าปากซอย คือเขาเดิน ๆ มาถึงร้าน แล้วสั่งคนขายว่าจะกินอะไร แล้วเขาก็เดินมานั่งที่โต๊ะ

เราก็ได้แต่นั่งงง ว่าคุณรู้ได้ยังว่าตำแหน่งของร้านมันอยู่ตรงนี้ … พอเห็นแบบนั้นแล้วก็เลยมองย้อนมาที่ตัวเรา ถึงแม้เรา

จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังดีกว่า เพราะมีคนที่ลำบากและยังสู้อุส่าห์มีชีวิตต่อไปด้วยความหวังถึงแม้มันจะน้อยนิดก็ตาม

            ชนะใจตัวเองอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกใช้มันหรือเปล่า

 

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2550

            วันนี้พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ทำงานเขาใส่เสื้อชมพูกันเบิกบาน พริ้มทุกพื้นที่ แล้วนี่จะให้เราใส่สีชมพูอีก หยั่งกะงานกีฬาสี

วันจันทร์เหลือง อังคารชมพู ศุกร์ฟ้า ส่วนเรื่องงานเช้านี้ก็เหมือนว่าง ๆ เพราะไม่มีคนมากวน ทำให้เราต้องมานั่งคิดงาน

เองอีกครั้งว่า วันนี้มีอะไรที่ต้องทำ หลังจากนั้น … งาน !!

 

วันที่ 13-16 พฤศจิกายน 2550

            นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไวรัสหรอ!! มันเข้ามาได้ยังไงทั้ง ๆ ที่ธนาคารเราก็มีโปรแกรมป้องกันอยู่แล้ว เราได้คิด ๆ ๆ

แต่ที่ไม่ควรจะคิดคือ ใครผิด ที่นำมันมาเข้าในระบบของเรา แต่!! เราจะจัดการกับมันอย่างไรดี นั่นคือปัญหาที่ต้องทำ

เพราะมีข้อจำกัดอยู่ 2 ข้อก็คือ  1) ธนาคารซื้อลิขสิทธิ์โปรแกรมป้องกันไวรัสเทรนไมโครมาใช้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้อง

ปล่อยให้มันอยู่ในเครื่องอย่างนั้น  2) การตัดสินใจอยู่ที่หน่วยคอมพิวเตอร์  เราก็พยายามหาทางแก้ด้วยการสแกน

อันนั้นอันนี้ แต่แล้วก็ไม่เป็นผล ได้แต่รอว่าทางนั้นจะมาช่วยเราหรือไม่ เราได้โทรแจ้งแล้วเขาก็ถามเราว่า คุณรู้ได้ยังไง

ว่ามันเป็นไวรัส แล้วก็ให้เราเทสต์นู่นเทสต์นี่ ก็พยายามจะบอกนะว่านี่มันหน้าที่คุณ ทางนี้เป็นแค่ยูสเซอร์ เป็นแค่

ผู้ใช้งาน แล้วก็บอก จะส่งคนไปดูให้พรุ่งนี้ … ก่อนที่เขากำลังจะมาในขณะนั้น เราได้ค้นพบวิธีที่จะจัดการกับมันแล้ว

แต่คนของทีมคอมพิวเตอร์ก็มาขัดจังหวะแล้วบอกว่า มันง่าย ๆ ตัวนี้ผมทำมาแล้วเครื่องหนึ่ง ง่าย ๆ คือเราก็แค่เอา

เทรนออกแล้ว แล้วลงแมคอะฟี่แทน เราก็เลยย้อนถามเขาว่าถ้าอย่างนี้ทางหน่วยงานมีคอมพิวเตอร์เป็นสิบ ๆ เครื่อง

หมายความว่าต้องเอาเทรนออกหมดแล้วลงแมคอะฟี่เพื่อจัดการไวรัสนี้ตัวเดียวงั้นหรอ เขาก็ตอบว่า อันนี้ให้เป็นหน้าที่

ของหัวหน้าผมตัดสินใจ หลังจากที่คนของทีมคอมพิวเตอร์กลับไป เราได้ยินแต่เสียงบ่นเสียงอ้อนวอนของพนักงาน

ที่มาใช้บริการคอมพิวเตอร์ของส่วนงาน และเราก็เห็นว่ามันเป็นงานเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขให้ไวรัสตัวนี้ออกไป ไม่งั้น

มันจะแพร่ไปทั่วทั้งองค์กรของเราด้วย Flash disk เพียงแค่ เสียบ ก็ติดไวรัส  และแล้ว 1 วันผ่านไป เราก็ไม่

สามารถทนได้กับการตัดสินใจของทีมคอมพิวเตอร์ เราได้ทดสอบวิธีการฆ่าไวรัสแบบ Manual โดยยอมให้คอมพิวเตอร์

ของตัวเองติดไวรัส แล้วทำการทดสอบวิธีที่ได้มา ปรากฏว่ามันสำเร็จ แต่ก็ยังสามารถติดไวรัสหากมีคนเอา Flash disk

ที่ติดไวรัสมาเสียบ และก็ต้องขอขอบคุณ Amornvit A. ที่ได้เผยแพร่วิธีการแก้ไขดังกล่าว และขอขอบคุณ

http://www.weblogs.dmh.go.th ที่เป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ความรู้นี้

 

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550

            เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เราได้ดูหนังแนว Comedy เรื่องหนึ่งที่ฉายทาง UBC ของทรู เนื้อเรื่องเป็นหญิง

คนหนึ่งจบใหม่กำลังหางานทำ และเธอก็สามารถผ่านการทดสอบให้เข้าทำงานในบริษัทแฟชั่นแห่งหนึ่งซึ่งมี

ชื่อเสียงและเป็นบริษัทที่สาว ๆ หลายคนฝันจะเข้ามาทำงานในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าเธอได้ทำงาน ตำแหน่ง

ผู้ช่วยเลขา หน้าที่ของเธอคือทำงานจุกจิก เช่น ซื้อกระเป๋า กาแฟ เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด รับโทรศัพท์ และ

อีกหลาย ๆ อย่างจนถึงหาหนังสือเรื่องแฮร์รี่พลอตเตอร์ฉบับที่ยังไม่ตีพิมพ์!! ให้กับหลานคู่แฝดของเจ้านาย ซึ่ง

เป็นบททดสอบสุดท้ายของเธอ การเป็นผู้ช่วยเลขาของบริษัทแฟชั่นแห่งนี้ไม่ได้ง่ายนัก เพราะเจ้านายจุกจิก

จ้องจับผิดเธอตลอดเวลา ไม่มีการชม ไม่มีการให้กำลังใจ มีเพียงคำพูดที่ว่า ฉันสามารถหาคนมาแทนเธอ

ได้ภายใน 5 นาที  เลขาหลัก เฝ้าฝันที่จะได้ไปฝรั่งเศสกับเจ้านายของเธอ เธอพยายามรักษาหุ่นอย่างหนัก

แต่งสวย เอาใจเจ้านาย แต่เธอทำพลาดไปซะแล้วเมื่อวันที่จะไปปารีสมาถึงเธอป่วยเป็นหวัด จากนั้นไม่นาน

เธอก็ทำพลาดด้วยการลืมชื่อแขกคนสำคัญ จนผู้ช่วยเลขาตัวเอกของเราต้องแอบกระซิบบอกชื่อแขกท่านนั้น

ต่อมาเธอก็ประสบอุบัติเหตุรถชนจนต้องเข้าเฝือก ด้วยเหตุนี้เจ้านายจึงได้เลือก ผู้ช่วยเลขาไปปารีสแทนเลขาหลัก

ฉากที่ปารีสนี้ มีชายคนหนึ่งที่นางเอกของเราติดหนี้บุญคุณไว้ด้วยการขอต้นฉบับเรื่องแฮร์รี่พอตเตอร์จากเขา

และแล้วก็ลงเอยด้วยการหลับนอนกับชายคนนั้น แต่พอตื่นมาเธอก็รีบเร่งเพื่อไปปฏิบัติงานต่อ แต่ชายคนนั้นพูดว่า

ไม่ต้องรีบร้อนที่รัก เธอตอบกลับอย่างโมโห ฉันไม่ใช่ที่รักของคุณ ถึงแม้ว่าเธอจะทะเลาะกับแฟนแล้วดูเหมือนจะ

เลิกกันก่อนที่จะมาปารีสนี้ แต่ฉากนี้ทำให้เรารู้สึกดี ที่ผู้หญิงพลีกายแต่ใจยังอยู่ที่แฟน หลังจากที่เธอกลับจากปารีส

เธอได้ขว้างโทรศัพท์ทิ้งขณะที่เจ้านายของเธอติดต่อ และแล้วเธอก็ได้งานใหม่กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง เห็นที ผม

คงจะโง่ถ้าไม่รับคุณเข้าทำงาน ดูจบก็เห็นตัวเอง อนิจจาเทียบไม่ติดเลย เราไม่เคยทำได้อย่างเธอ เกิดความตั้งใจ

ใหม่ว่า วันนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถทำให้เราหุบยิ้ม วันนี้เราได้วางแผนเกี่ยวกับสมุดโน้ตว่าต้องจด

ต้องลิตส์งานออกมา ให้หมด ให้ครบ ชัดเจน ตรงประเด็น วันนี้เราได้ใช้ความสามารถ ประสิทธิภาพได้อย่างน่าทึ่ง

ถึงแม้ว่าจะโดนใครบางคนในนั้นติ (เป็นการติอีกครั้งที่แรงครั้งหนึ่งในชีวิตการทำงาน ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดวันนี้)

แต่เราก็สามารถควบคุมตัวเองได้ และยังยิ้มต่อไป

 

วันที่ 23 พฤศจิกายน 2550

            หมดเรี่ยวหมดแรง ในที่สุดก็เลิกงานแล้ว ได้พักแล้ว ในสัปดาห์นี้ไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าทำงานได้อย่างน่าทึ่ง

เราไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าจะทำงานได้ดีขนาดนี้ แต่มันก็ทำให้เราล้าสุด ๆ เย็นวันนี้เลยเดินแวะไปงานลอยกระทง

ของภูเขาทอง อ้าว…ไฟดับซะนี่ ตลอดข้างทางมีเพียงแสงเทียนหยั่งกับว่าตั้งใจสร้างความโรแมนติกให้คู่หญิงชาย

เมื่อไฟสว่างเราก็เห็นอย่างชัดเจนว่าสมัยนี้ หญิงควงกับหญิงเยอะจัง เป็น 10 คู่ แต่ก็พยายามมองหา ชายกับชาย

เอ๊ะ! ไม่มีเลย ทำไมหว่า ?… แต่ก็ว่านะผู้หญิงสมัยนี้ชอบพูด ครับๆ ผมล่ะเกลียดสุด ๆ ความรู้สึกที่โดนผู้หญิงพูด

ครับ ด้วย 1.ก็คือ เอ๊ะ…เธอเห็นเราเป็นตัวตลกหรอ 2.เธอเป็นผู้ใหญ่กว่าเรางั้นหรอ 3.เธอไม่ให้เกียรติเรา …

แต่เราก็พยายามทำความเข้าใจว่าพวกเธอทั้งหลายคงอาจจะบ้าละครมากไปหน่อย เปิดช่องไหนก็เจอแต่สาวในละคร

ครับๆ ถมไป … อ้อมีอีกนะ คนที่เป็นแฟนกันเนี่ย ผู้หญิงเขาจะเรียกชายว่า ตัวเอง และเรียกตัวเองว่า เค้า ส่วน

ผู้ชายก็บ้าตาม เรียกหญิงว่า ตัวเอง เรียกตัวเองว่า เค้า เป็นตุ๊ดเปล่าเนี่ย มีที่ไหนเดิน ๆ อยู่ ผู้ชายนะหน้าตาดีหุ่นบึ๊กๆ

พูด ตัวเอง ออกจากปาก เราล่ะขำ นึกไปว่าคนนี้มันเป็นตุ๊ดเปล่าหว่า (เดินห่าง ๆ หน่อยละกัน)

            ในที่สุดก็มาถึงยอดภูเขาทอง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากปีที่แล้ว ยังคงสภาพ ภูเขาทอง ที่ดีเหมือนเดิม

แต่ว่าตอนนี้เหลือเวลาอีก 30 นาที เรือที่จะกลับหอก็จะหมด ต้องรีบแล้ว!” คนเยอะมาก เราพยายามเบียดเสียดออกมา

ในระหว่างนั้น มีคนชาวญี่ปุ่น 2 คน ชายหญิง อยู่ข้างหน้าผม เขาสองคนคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันนะ

แต่ท่าทางสนุกกันมาก ๆ ท่ามกลางผู้คนแออัด และเขาก็ไม่ได้เดินจูงมือกัน ไม่ได้เดินเบียดเสียดกัน ต่างกับคนไทยที่

จูงมือกันเดินแต่ เป็นใบ้ … และแล้วเรือเที่ยวสุดท้ายก็ออกจากท่า ทำได้แค่มอง เรือ รอด้วย และแล้วเรือก็จากไป

ตอนนี้มีเงินอยู่ 30 บาท จะขึ้นรถไปไงดีล่ะ คิดไม่ออกเลยเดินเข้าเซเว่นซื้อเป๊ปซี่ 1 กระป๋อง 14 บาท ใส่ถุงไหมคะ ใส่สิ

หลอดด้วยไหมคะ ครับหลอดด้วย (ถามจัง ใส่ ๆ มาเหอะ) และแล้วก็เดินโต่เต่ไปขึ้นสาย 171 ตรงรัฐธรรมนูญ

ไปรามนี่เท่าไหร่ครับ 18 บาทค่ะ งั้น 16 บาทไปได้ถึงไหนครับ ว้าฉีกตั๋ว 18 บาทไปแล้ว เอาไปละกันนะไม่เป็นไร

ผมล่ะซึ้งกระเป๋ารถเมล์คนนี้จริง ๆ ที่ไม่ถีบลงจากรถ สักพัก … ขอตั๋วใบนั้นคืนด้วยค่ะ อ้าวล่ะสิ ซวยแล้วไง นี่ค่ะตั๋ว

16 บาท  ถึงแม้ว่ามันจะจบไม่สวย แต่น้ำใจของคนไทย ก็ยังงาม ไม่เปลี่ยนแปลงนะ…

 

วันที่ 24 พฤศจิกายน 2550

            เช้านี้ตื่นมาเที่ยงวัน คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการทำงานทั้งสัปดาห์ เราเป็นคนจีน ต้องตื่นแต่เช้าทำการทำงาน

แต่ว่า ขอสักวันละกันนะ ไม่ ๆ พรุ่งนี้ด้วย… วันนี้เป็นวันลอยกระทง ที่วัดน้อยพระไกรศรีตรงนี้ ก็จัดงานลอยกระทง ตั้งใจว่า

จะไม่ลอยเพราะสื่อต่าง ๆ ถกเถียงกันมากในเรื่องนี้และเราเองก็ไม่ค่อยจะมีตรังค์กับเขาด้วย (เงินเก็บหลักหมื่นบอกไม่มีตรังค์)

แต่พอไปถึงในงานเห็นกระทง 30 บาทก็อดไม่ได้ที่จะลอย ไม่ ๆ เรามีเหตุผลนะ คืองี้ เมื่อปีที่แล้วไม่ได้ลอยกระทงเพราะปีนั้น

ไปเที่ยว จ.อุดรธานี ถ้าปีนี้ไม่ลอยไปลอยปีหน้า เราก็จะกลายเป็นคนที่ลอยกระทง 3 ปีครั้ง ถ้าลอยปีนี้ก็จะแค่ 2 ปีครั้ง กระทงที่

ซื้อ 30 บาทนี้ สมราคา ชอบมาก เป็นกระทงกล้วย ประดับด้วยธูปติดดอกไม้กระดาษสีขาว ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าราคา 30 บาท

ทั่วไป พอเดินไปถึงตรงที่ลอยกระทง ก็ยังเห็นภาพหญิงกับหญิงนั่งกอดกันริมตลิ่ง แล้วทำไมไม่มีชายกอดชายกันริมตลิ่งมั่งนะ

บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักพร้อมกับเสียงพลุที่ดังเป็นช่วง ๆ จากนั้นก็ไปไหว้พระ ทำบุญ เสี่ยงเซียมซี แล้วก็ตรงที่รับ

น้ำมนต์มีพระรูปหนึ่งคาดว่าเป็นเจ้าอาวาส คือท่านแจกพระกับคนที่มารับน้ำมนต์ แล้วเราก็อยู่ห่างจากตรงนั้นมาก ไม่อยาก

จะเชื่อเลยว่าท่านเอื้อมสุดแขนเพื่อส่งพระให้กับเรา ก็รับไว้ เก็บพระนั้นไว้ในสายนาฬิกาพร้อมเดินกลับด้วยความสุข ที่ประทับใจ

 

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2550

            เช้านี้ทำงานด้วยชุดเขียวเพราะวันนี้เป็นวันบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ เราต้องทำความสะอาดจัดข้าวของเครื่องใช้ให้เข้าที่

แต่ไม่เชื่อหรอกว่าจะได้ทำ ก็แน่ล่ะวันนี้พี่เขาบอกให้เราไปกานต์มณีช่วงบ่ายแล้วตอนช่วงเช้าต้องมาวุ่นกับการไรท์ซีดีอีก

แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังทำงานจนหกโมงเย็นเรียบร้อยแล้วก็กลับบ้าน แต่นึกขึ้นได้ว่าหัวหน้าให้การบ้านมาว่าให้ช่วยหาโต๊ะ

วางคอมฯ ที่เป็น 2 ชั้น เพื่อมาใช้ในออฟฟิศจะได้มีพื้นที่มากขึ้น พอกลับถึงบ้านเห็นปฏิทินพรุ่งนี้ก็เดือนธันวาแล้ว ปีใหม่นี้

เราต้องไปหาพักผ่อนที่ไหนสักแห่ง ก็มีที่ภูกระดึงเนี่ยแหละ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยว่าจะลองไปดูซะหน่อย

————————————————————————————————————————————————–

 

Posted in Uncategorized | 15 Comments